การเมือง

“เปิดศึกโซเชียล: ‘กัน จอมพลัง’ ปะทะ ‘ไอซ์ รักชนก’ (พรรคประชาชน) สะท้อนความโปร่งใสเงินบริจาค-ประเด็นการเมืองสกปรก ในวิกฤตสแกมเมอร์ชายแดนไทย-กัมพูชา”
สังคมไทยได้ตกอยู่ในกระแสความสนใจครั้งใหญ่จากการปะทะคารมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ระหว่าง นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” นักกิจกรรมช่วยเหลือสังคมชื่อดัง และ นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน ประเด็นที่เริ่มต้นจากการเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์/สแกมเมอร์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ขยายวงกลายเป็นข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสของเงินบริจาคในมูลนิธิฯ และการถูกดึงเข้าสู่สนามการเมืองเต็มตัว การปะทะครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นภาพสะท้อนของ “การเมืองเชิงซ้อน” (Complex Politics) ที่เชื่อมโยงระหว่างปัญหาประชาชน ภาครัฐ และอำนาจภาคประชาชน จุดเริ่มต้น: วิกฤตสแกมเมอร์กับการขอความช่วยเหลือที่ผิดฝา ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ที่ใช้พื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในการก่ออาชญากรรม สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล โดยมีข้อมูลสถิติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เคยเปิดเผยว่า ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา มูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีพุ่งสูงถึงหลายพันล้านบาท การปะทะเริ่มต้นเมื่อ นางสาวรักชนก ส.ส.พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความถึง “กัน จอมพลัง” เชิงตัดพ้อรัฐบาลที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และขอให้ใช้บารมีส่วนตัวช่วยประสานงานกับนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรองนายกฯ (ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า) เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว การตีความเชิงวิเคราะห์: การที่ ส.ส.ฝ่ายค้านขอให้ประชาชนทั่วไปที่มีชื่อเสียงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาระดับประเทศที่รัฐบาลควรเป็นผู้รับผิดชอบ สะท้อนถึง: การโต้กลับและข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสของ “เงินบริจาค” “กัน จอมพลัง” ได้ตอบโต้กลับอย่างรุนแรง โดยระบุว่าตนเองยินดีช่วย แต่ขอให้ฝ่ายการเมือง […]
อ่านต่อ
ส.ส.ร. สู่รัฐธรรมนูญใหม่ – เดิมพันสำคัญบนทางแยกอำนาจ
เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อรัฐสภาเข้าสู่การพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยมีประเด็นหลักอยู่ที่การจัดตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับปี 2560 ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิคทางกฎหมาย แต่คือการเมืองที่มีเดิมพันสูงในการจัดวางความสัมพันธ์ทางอำนาจ และกำหนดทิศทางประชาธิปไตยของประเทศ บทความนี้จะวิเคราะห์ความซับซ้อนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในห้วงเวลานี้ ทั้งในมิติของกระบวนการ โครงสร้าง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพทางการเมือง มิติทางวิชาการ: ความชอบธรรมของกระบวนการ การเรียกร้องให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผ่าน ส.ส.ร. มีรากฐานจากความเชื่อที่ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เนื่องจากถูกร่างขึ้นภายใต้บริบทของคณะรัฐประหาร การมี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด หรือส่วนใหญ่ จึงถูกมองว่าเป็นหนทางในการ “คืนอำนาจสถาปนา” (Constituent Power) ให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกเสนอมีรายละเอียดการได้มาของ ส.ส.ร. ที่แตกต่างกันไป อาทิ ร่างของพรรคเพื่อไทยที่เสนอให้มี ส.ส.ร. จำนวน 151 คน โดย 100 คนมาจากการเลือกตั้งระดับจังหวัด และ 51 คนมาจากการคัดเลือกโดยรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี (ครม.) (แหล่งอ้างอิง: สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, 15 ต.ค. 2568) ในทางวิชาการ ร่างที่มีสัดส่วน ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในสัดส่วนที่สูงกว่า […]
อ่านต่อ
Bloodless Warfare วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา : การยืนยันอำนาจอธิปไตย บนความท้าทายทางกฎหมายสากล
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวหลักเขตแดนที่ 47-48 จังหวัดสระแก้ว ได้กลับมาเป็นประเด็นที่สังคมไทยให้ความสนใจสูงสุดอีกครั้ง รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของไทยได้ใช้มาตรการเข้มข้นในการยืนยันอำนาจอธิปไตยและผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำออกนอกพื้นที่ โดยมีการกล่าวถึงการใช้ปฏิบัติการทางจิตวิทยา (Psy-Ops) เช่น การเปิดเสียงที่เชื่อว่าทำให้ฝ่ายตรงข้ามหวาดกลัว เพื่อกดดันการถอนกำลังออกจากพื้นที่พิพาท การยืนยันอำนาจอธิปไตยผ่านปฏิบัติการทางทหารและจิตวิทยา การดำเนินการของกองกำลังป้องกันชายแดนไทย ซึ่งรวมถึงการเข้าควบคุมพื้นที่และจับกุมแรงงานกัมพูชาที่ลักลอบเข้าเมือง หรือผู้ที่เชื่อว่ารุกล้ำอธิปไตย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดน การตัดสินใจใช้ปฏิบัติการทางจิตวิทยา เช่น การเปิดเสียงดังผิดปกติ หรือแม้แต่ที่ถูกเรียกขานว่า “เสียงผี” ถูกมองว่าเป็นยุทธวิธีที่สร้างสรรค์ในการกดดันฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องใช้กำลังรุนแรงถึงชีวิต ในแง่การทหาร นี่คือตัวอย่างของการใช้ “สงครามไร้กระสุน” (Bloodless Warfare) ที่มุ่งเน้นการทำลายขวัญและกำลังใจของคู่กรณี ผบ.กองกำลังบูรพา ได้ยืนยันหนักแน่นว่า การกระทำทั้งหมดอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจในดินแดนไทย การตอบสนองที่แข็งกร้าวนี้สอดคล้องกับความคาดหวังของสาธารณะในประเด็นความมั่นคงของชาติ ความท้าทายจากมุมมองสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ ในอีกด้านหนึ่ง ประเด็นนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากนักสิทธิมนุษยชนและสมาชิกวุฒิสภาบางราย โดยมีการตั้งข้อสังเกตจาก นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ว่าการใช้ปฏิบัติการทางจิตวิทยา โดยเฉพาะการสร้างความหวาดกลัวหรือความกดดันอย่างรุนแรง อาจเข้าข่ายการ “ทรมานทางจิตวิทยา” ตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (Convention Against Torture: CAT) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี นี่คือประเด็นทางวิชาการที่สำคัญ: การรักษาสมดุลระหว่างอำนาจอธิปไตยกับพันธกรณีระหว่างประเทศ แม้ว่ารัฐจะมีสิทธิและหน้าที่ในการปกป้องพรมแดนอย่างเต็มที่ แต่การกระทำใด ๆ ที่เข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายสากลอาจถูกนำไปขยายผลในเวทีโลกได้ […]
อ่านต่อ
นับหนึ่งสู่ ‘ฉบับใหม่’ หรือ ‘เกมต่อรอง’?: บทวิเคราะห์ 3 ร่างแก้รัฐธรรมนูญ ในสภา
การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกครั้ง เมื่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้เริ่มพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (ฉบับที่ ..) ในวาระแรก (รับหลักการ) จำนวน 3 ฉบับ ระหว่างวันที่ 14-15 ตุลาคม 2568 การพิจารณาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการทางกฎหมาย แต่คือการต่อสู้ทางความคิดและอำนาจระหว่างพรรคการเมืองหลักสามกลุ่ม ได้แก่ พรรคเพื่อไทย (พท.), พรรคภูมิใจไทย (ภท.), และ พรรคประชาชน (ปชน.) โดยมีผลลัพธ์ที่เป็นเดิมพันคือทิศทางของประชาธิปไตยไทยในทศวรรษหน้า ประเด็นร้อนที่สาธารณชนจับตามองคือ การบรรลุ “จุดร่วม” ในการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมดตามร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน หรือการยอมรับให้ร่างของพรรคภูมิใจไทย ที่มีแนวทางให้ ส.ส.ร. มาจากผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิที่แต่งตั้ง มีบทบาทเป็นร่างหลัก ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า “ยึดโยงประชาชนน้อย” TopicThailand จะวิเคราะห์จุดต่างและจุดร่วมของทั้ง 3 ร่าง และประเมินฉากทัศน์ทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นหลังการลงมติวาระแรก จุดต่างและจุดร่วม 3 ร่าง ทั้งสามร่างมีเป้าหมายร่วมกันคือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ทั้งฉบับ) โดยมีกลไกสำคัญคือ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งเป็นไปตามผลการวิเคราะห์ของนักวิชาการจากหลายสถาบัน อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ […]
อ่านต่อ
ย้ายค่าย เพื่อประเทศ หรือ? เอาตัวรอด: วิเคราะห์ปรากฏการณ์การย้ายพรรคของนักการเมือง
ในทุกฤดูกาลเลือกตั้ง ภาพที่คุ้นตาของสังคมไทยคือ “การย้ายพรรค” ของนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ ปรากฏการณ์นี้มักถูกตั้งคำถามจากประชาชนว่า ส.ส.เหล่านั้น “ย้ายเพื่ออุดมการณ์” หรือ “ย้ายเพื่อเอาตัวรอดทางการเมือง” กันแน่ การย้ายพรรคเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่ในประเทศไทย แต่ในประเทศที่ระบบพรรคการเมืองยังไม่เข้มแข็งหรือมีการเมืองแบบอุปถัมภ์ (patronage politics) การย้ายพรรคกลับกลายเป็นเรื่องปกติ จนบางครั้งถูกมองว่าเป็น “กลยุทธ์เอาตัวรอด” มากกว่าการขับเคลื่อนเพื่อประชาชน งานวิจัยและทฤษฎีที่อธิบายพฤติกรรม “ย้ายพรรค” นักรัฐศาสตร์จำนวนมากได้ศึกษาเรื่องนี้ในหลากหลายมุมมอง เช่น เหตุผลหลักที่นักการเมืองย้ายพรรค จากการรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยไทยและต่างประเทศ พบว่าการย้ายพรรคของ ส.ส. มีเหตุผลสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ ผลดีและผลเสียจากการย้ายพรรค ผลดี ผลเสีย กรณีศึกษา: ไทยกับ “การย้ายค่ายเชิงเอาตัวรอด” ในประเทศไทย การย้ายพรรคมักเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่คาดการณ์ได้ว่าพรรคใดจะเป็นรัฐบาล เช่น กรณีปี 2562 และ 2566 ที่หลาย ส.ส. จากพรรคฝ่ายค้านเดิม “ย้ายเข้าพรรคฝ่ายรัฐบาล” ก่อนเลือกตั้งไม่นาน เหตุผลที่พบบ่อยคือ “ต้องการทำงานต่อให้พื้นที่” หรือ “ต้องการอยู่ฝ่ายรัฐบาลเพื่อดึงงบพัฒนาเขตเลือกตั้ง” […]
อ่านต่อ
วิเคราะห์เกมรุกเพื่อไทย! “แพทองธาร-สุริยะ” ยกเครื่องพร้อมชน ส่องเป้า 200 ที่นั่ง ในสมรภูมิเลือกตั้งใหม่
ภายหลังการสิ้นสุดวาระของรัฐบาลชุดก่อน และการส่งสัญญาณเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่คาดว่าจะมาถึงในไม่ช้า ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองหลัก ๆ ได้รับความสนใจอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยับตัวครั้งใหญ่ของ พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่จัดงาน “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2568 งานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. รุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศยุทธศาสตร์การเลือกตั้งที่เข้มข้น นำโดยหัวเรือคนสำคัญที่ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ การช่วงชิงจังหวะ: ยุทธศาสตร์ “ยกเครื่อง” และผู้นำทัพใหม่ การจัดงานในลักษณะที่แสดงความพร้อมอย่างเปิดเผย ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง (Political Momentum) ในช่วงเปลี่ยนผ่าน พรรคเพื่อไทยต้องการสื่อสารไปยังสาธารณชนว่า พรรคพร้อมแล้วสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ทั้งในด้านนโยบายและบุคลากร น.ส. แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และในฐานะบุคคลที่ถูกจับตามองในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ได้กล่าวเน้นย้ำถึงบทเรียนจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา และการเดินหน้าต่อด้วยความแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงการเมือง คือการแต่งตั้ง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ให้เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง หรือ “แม่ทัพใหญ่” การดึงบุคคลระดับแกนนำที่มีประสบการณ์สูงและมีเครือข่ายทางการเมืองที่แข็งแกร่งมารับผิดชอบภารกิจสำคัญนี้ สะท้อนให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเปลี่ยนจากการบริหารพรรคไปสู่การ มุ่งเน้นผลการเลือกตั้ง (Result-Oriented) อย่างเต็มรูปแบบ นายสุริยะเองก็ได้รับการยืนยันว่ายังอยู่กับพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัว 100% พร้อมพิสูจน์ผลงานให้หัวหน้าพรรคมั่นใจ การประเมินคู่แข่ง: เป้าหมาย […]
อ่านต่อ
“เสียงที่จมน้ำ: แกะรอย ‘พรรคประชาชน’ กับโจทย์ใหญ่ ‘น้ำท่วมซ้ำซาก’ – เมื่อเทคโนโลยีต้องประจักษ์ในสนามจริงของรากหญ้า”
เมื่อ ‘เท้ง’ ลงอยุธยา… ปรากฏการณ์ที่มากกว่าการเมือง ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2568 สถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ของประเทศไทยกลับมาเป็นวาระแห่งชาติอีกครั้ง โดยเฉพาะจังหวัดที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างพระนครศรีอยุธยา ท่ามกลางภาวะวิกฤตนี้ ข่าวการลงพื้นที่ของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมคณะ สส. เพื่อติดตามสถานการณ์และรับฟังปัญหาจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ จึงกลายเป็นภาพที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงในฐานะภารกิจของฝ่ายค้าน แต่เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับภาพลักษณ์ของพรรคที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นพรรคแห่งนโยบายสมัยใหม่และเทคโนโลยี (Tech-Savvy Party) ว่าจะสามารถเชื่อมโยงกับปัญหาพื้นฐานของ ‘ประชาชนรากหญ้า’ ที่กำลังเผชิญกับ ‘เสียงที่จมน้ำ’ ได้อย่างไร ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก: โจทย์ใหญ่ที่สะท้อนความเหลื่อมล้ำ การลงพื้นที่ของพรรคประชาชนในครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณถึง ‘การขยายฐานความเข้าใจ’ จากปัญหาเชิงโครงสร้างไปสู่ปัญหาเชิงปฏิบัติการที่ประชาชนรู้สึกได้จริง เป็นการพิสูจน์ว่าพรรคที่เน้นนโยบาย ‘สร้างโอกาส’ จะสามารถเข้าไป ‘บรรเทาทุกข์’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ บทบาทใหม่: จาก ‘พรรคดิจิทัล’ สู่ ‘พรรคติดดิน’ พรรคประชาชนมักถูกวิเคราะห์ในฐานะผู้ขับเคลื่อนนโยบายที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี เช่น การปฏิรูประบบราชการด้วยดิจิทัล, การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นผ่านแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ แต่ปัญหาอย่างน้ำท่วมซ้ำซากต้องการการแก้ไขที่ซับซ้อนกว่าแค่การใช้แอปพลิเคชัน คำถามเชิงลึกที่พรรคประชาชนต้องตอบ: นักวิเคราะห์มองว่า การลงพื้นที่ในอยุธยาครั้งนี้คือการสร้าง ‘ความน่าเชื่อถือทางอารมณ์’ (Emotional Credibility) ให้กับพรรค ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ ‘ความน่าเชื่อถือทางนโยบาย’ […]
อ่านต่อ
วิกฤตศรัทธาสู่การยกระดับ: “เพื่อไทย” ภายใต้ร่มเงาของ “เทคโนโลยีและตระกูล”
วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่าเป็นวันที่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค ได้ขึ้นเวทีประกาศแคมเปญครั้งใหญ่ในชื่อ “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” โดยมีเป้าหมายในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับความท้าทายทางการเมืองยุคใหม่ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากกรณีการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วและการปรับตัวหลังการเลือกตั้งที่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคาด การ “ยกเครื่อง” นี้ไม่ได้เป็นเพียงการปรับโฉมภายนอก แต่คือความพยายามครั้งสำคัญในการกู้คืนศรัทธาและความเชื่อมั่นจากฐานเสียงเดิมที่เคยแข็งแกร่ง และขยายฐานไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความทันสมัย: สาระสำคัญประการหนึ่งของการ “ยกเครื่อง” คือการมุ่งสู่การเป็น “พรรคดิจิทัล” ที่ใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจความต้องการของประชาชนอย่างลึกซึ้ง (อ้างอิง: The Better, 7 ต.ค. 2568) นี่เป็นการยอมรับโดยนัยว่าวิธีการทำความเข้าใจปัญหาของประชาชนแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการออกแบบนโยบายแบบเฉพาะเจาะจง (Targeted Policy) และสร้างความแม่นยำในการสื่อสารทางการเมือง อย่างไรก็ตาม การปรับตัวด้านเทคโนโลยีนี้อาจต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์จะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง หรือจะถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ “บริหารจัดการ” ฐานเสียงของพรรคเท่านั้น ความท้าทายในการปรับภาพลักษณ์ “พรรคของตระกูล” สู่ “พรรคของทุกคน”: […]
อ่านต่อ
6 ตุลาฯ กับภารกิจ รธน.ใหม่: เมื่อ ‘ปชน.’ ย้ำจุดยืน ‘องค์กรอิสระ’ คือหัวใจปฏิรูปการเมือง
วันที่ 6 ตุลาคมของทุกปี ไม่ได้เป็นเพียงวันรำลึกถึงโศกนาฏกรรมทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2519 เท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่การเมืองไทยสมัยใหม่ใช้เป็นจุดอ้างอิงและตอกย้ำถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ในปี พ.ศ. 2568 นี้ แกนนำและ สส. พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคฯ ได้ใช้เวทีการรำลึก ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในการประกาศจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน: การแก้ไขรัฐธรรมนูญคือภารกิจเร่งด่วนที่สุด และเน้นย้ำว่า การจัดระบบอำนาจของ “องค์กรอิสระ” คือหัวใจสำคัญของการปฏิรูป จาก ‘โหวตนายกฯ’ สู่ ‘แก้ รธน.’: การตีความเจตนารมณ์ การตัดสินใจของพรรคประชาชนในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากฐานเสียงและผู้สนับสนุนการปฏิรูปประชาธิปไตย โดยเฉพาะในประเด็นที่พวกเขาถูกมองว่า “เปลี่ยนจุดยืน” อย่างไรก็ตาม นายณัฐพงษ์ได้ใช้โอกาสนี้อธิบายว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นไปเพื่อ “เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” โดยได้ระบุว่า “เรารับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนที่ผิดหวัง แต่เหตุผลหลักที่เราตัดสินใจโหวต คือเพื่อให้เกิดกลไกที่สามารถผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จ” ในมุมมองเชิงลึก การอธิบายนี้สะท้อนถึงการคำนวณทางยุทธศาสตร์ของพรรคที่เน้น “ผลลัพธ์ในระยะยาว” เหนือ “ความรู้สึก” หรือ “ความถูกต้องทางอุดมการณ์” ในระยะสั้น […]
อ่านต่อ
“คืนความเป็นธรรม!” “ชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล” คืนเก้าอี้ผู้ว่าฯ อ่างทอง หลัง “นายกฯ หนู” ชื่นชมการทำงานลุยน้ำท่วม พร้อมส่งสัญญาณ “คืนยุติธรรมให้ทุกคน”
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณบวกในการบริหารงานราชการ เมื่อ นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล ได้รับการแต่งตั้งให้กลับมา รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง อีกครั้ง จากเดิมที่ถูกโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคำสั่งนี้เป็นไปตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 2992/2568 ลงนามโดย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยให้มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล ถูกย้ายจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ล็อตใหญ่ ซึ่งมีการเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในช่วงประมาณ วันที่ 19 สิงหาคม 2568 เกิดขึ้นในสมัยที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ก่อนมีการปรับคณะรัฐมนตรี) การคืนตำแหน่งครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายกฯ หนู) ได้ลงพื้นที่จังหวัดอ่างทอง เพื่อตรวจเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย ในระหว่างการลงพื้นที่ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้กล่าว ชื่นชมการทำงานของนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล อย่างเปิดเผยในการจัดการสถานการณ์ภัยพิบัติ และยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงนโยบายสำคัญว่า “จะคืนความเป็นธรรม-ยุติธรรม […]
อ่านต่อ