

หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
14 ตุลาคม 2568
บทวิเคราะห์ : นับหนึ่งสู่ ‘ฉบับใหม่’ หรือ ‘เกมต่อรอง’?: บทวิเคราะห์ 3 ร่างแก้รัฐธรรมนูญ ในสภา

1 ตุลาคม 2568
1 ตุลาคม 2568 นับเป็นวันแรกของการนับถอยหลังรัฐบาล 4 เดือน หรือ 120 วัน ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ซึ่งการได้มาของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาจากข้อตกลง MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน ซึ่งในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้ระบุไว้ในคำแถลงในการผลักดันให้เกิดกระบวนการให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูฐฉบับใหม่
เมื่อ 29-30 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยระบุว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย มีเวลาจำกัดในการบริหารประเทศ (4 เดือน ก่อนยุบสภาตาม MOA) จึงเน้นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนควบคู่กับการวางรากฐานการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีหลักการสำคัญ 3 ประการ และกำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วน 5 ด้าน 15 แนวทาง ดังนี้
1. หลักการสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน (3 ประการ)
- พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
- ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล
2. นโยบายสำคัญเร่งด่วน (5 ด้าน 15 แนวทาง)
1. นโยบายด้านเศรษฐกิจ (5 ข้อ)
เน้นการ “สร้างรายได้ ลดรายจ่าย” และเพิ่มสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ
- สร้างรายได้ ลดรายจ่าย: ด้วยการจัดทำ โครงการคนละครึ่ง เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน และบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง: แก้ไขปัญหาหนี้สินทั้งในภาคประชาชนและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการ เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท และสร้างระบบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับลูกหนี้ที่มีวินัย
- เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย: พัฒนาผลิตภัณฑ์ สลากเพื่อการออม (หวยเกษียณ) โดยกันเงินส่วนหนึ่งที่ผู้ซื้อสลากไม่ถูกรางวัลให้เป็นเงินออม รวมถึงการให้สิทธิ์ประชาชนซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยสะดวก
- ฟื้นความเชื่อมั่นและกระตุ้นการท่องเที่ยว: มุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว การปราบปรามการฉ้อโกง และจัดทำมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ
- เร่งแก้ไขผลกระทบจากสงครามการค้า: จัดตั้ง “ทีมไทยแลนด์” ดูแลและสนับสนุนผู้ประกอบการ เกษตรกร และสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัย
2. นโยบายด้านความมั่นคง (3 ข้อ)
เน้นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและยกระดับคุณภาพชีวิต
- แก้ไขกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา: ด้วย แนวทางสันติภาพ และปกป้องอธิปไตยตามเส้นเขตแดนสากล โดยหากจำเป็นจะจัดทำ ประชามติ ให้ประชาชนร่วมตัดสินใจอนาคตของบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี พ.ศ. 2543 และ พ.ศ. 2544 ที่เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
- ดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุก: เสริมสร้างความมั่นใจและสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ
- เร่งแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้: ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
3. นโยบายด้านสังคม (4 ข้อ)
เน้นการปราบปรามทุจริตและการพนันผิดกฎหมาย
- ปราบปรามการพนันผิดกฎหมาย: ทุกรูปแบบอย่างจริงจัง และ ไม่สนับสนุนการประกอบธุรกิจการพนันทุกชนิดให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย (รวมถึงกาสิโน)
- รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด: โดยไม่ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
- ขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบ: อย่างเด็ดขาดและจริงจัง
- พิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
4. นโยบายด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2 ข้อ)
เน้นการรับมือภัยพิบัติและการส่งเสริมพลังงานสะอาด
- เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยพิบัติ: พัฒนาเครือข่ายเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงสูง และเยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน
- ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ: ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และพัฒนายกระดับวิถีเกษตรกรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการป้องกันและลดการเผาในภาคการเกษตร เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5
5. นโยบายด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย (1 ข้อ)
เน้นการพัฒนาระบบราชการให้ทันสมัย
- เร่งรัดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล: ปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบที่ล้าสมัย เพื่อยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัยและโปร่งใส
นอกจากนี้ นายอนุทินยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ จัดทำประชามติและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยรับฟังเสียงของประชาชน และยืนยันในเจตจำนงที่จะ ยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 ตามบันทึกข้อตกลง (MOA) ที่ได้ทำไว้.
ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
5 กันยายน 2568 (วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 32)
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 รัฐสภาได้มีมติเลือก นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 311 เสียง เอาชนะคู่แข่ง นายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับ 152 เสียง
การลงมติในครั้งนี้เป็นการลงคะแนนลับโดยมีสมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดแต่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยผลการลงมติในครั้งนี้ทำให้นายอนุทินซึ่งเป็นผู้นำพรรคภูมิใจไทย ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำประเทศคนใหม่ เนื่องจากได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด
ในขณะที่นายอนุทินกล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความไว้วางใจ ทางพรรคเพื่อไทยก็ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีและยืนยันว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ และประชาชนต่างก็เฝ้ารอการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เพื่อเดินหน้าพัฒนาประเทศต่อไป
6 กันยายน 2568
เกี่ยวกับ MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน พบประเด็นสำคัญและข่าวที่น่าสนใจดังนี้:
1. ประเด็น “นิติสงคราม” ที่เข้มข้นขึ้น
- ส.ส. พรรคเพื่อไทยได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของนายอนุทิน ชาญวีรกูล (หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย) และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (หัวหน้าพรรคประชาชน) ว่าสิ้นสุดลงหรือไม่
- สาเหตุที่ยื่นเรื่องนี้อ้างว่า MOA ที่ทั้งสองพรรคทำขึ้น อาจเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(3) และมาตรา 185 (1)(2) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการครอบงำหรือชี้นำพรรคการเมืองเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมือง เช่น การสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี
- ประเด็นนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็น “นิติสงคราม” ที่พรรคเพื่อไทยใช้จัดการกับคู่แข่งทางการเมืองหลังจากไม่สามารถร่วมรัฐบาลได้
2. การตอบสนองจากพรรคภูมิใจไทย
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับ MOA และยืนยันว่าการที่พรรคเพื่อไทยยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้
- นอกจากนี้ ยังมีข่าวการหารือเรื่องโควตารัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลและกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ย้ายมาสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของ MOA ที่ระบุให้มีการยุบสภาภายใน 4 เดือน
3. การวิพากษ์วิจารณ์และมุมมองทางการเมือง
- นักการเมืองจากพรรคอื่น เช่น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง (ส.ส.พรรคประชาชาติ) ได้อภิปรายในสภาฯ ว่า MOA ดังกล่าวเป็นข้อตกลงทางการเมืองที่ “กร่อนเซาะ” และ “บ่อนทำลาย” ระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีเงื่อนไขให้พรรคภูมิใจไทยต้องจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งผิดหลักการประชาธิปไตย
- ในขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (หัวหน้าพรรคประชาชน) ได้โต้แย้งประเด็นนี้ และยืนยันว่าการตัดสินใจทำ MOA เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนและพรรคได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว
- มีการวิเคราะห์ว่า การทำ MOA ครั้งนี้อาจส่งผลให้เกิดความปั่นป่วนในสภาฯ และอาจนำไปสู่การปลุกระดมมวลชนได้ในอนาคต
โดยสรุปแล้ว ข่าวสำคัญที่สุดในวันที่ 6 กันยายน 2568 คือการที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบ MOA ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้น “นิติสงคราม” อย่างเป็นทางการ และเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไปว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่หรือไม่.
7 กันยายน 2568
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทยแล้ว ประกาศดังกล่าวได้เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568 โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นไปตามผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ซึ่งนายอนุทินได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบจากสมาชิกสภามากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ หลังจากนี้ นายอนุทินจะดำเนินการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศต่อไป
10 กันยายน 2568
ความคืบหน้าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ / ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ 9/2568)
- ศาลวินิจฉัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 รัฐสภามีอำนาจเริ่มต้นหรือแสดงความต้องการ (ริเริ่ม) เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ iLaw
- แต่ ห้าม ให้ประชาชนเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดยตรง
- ศาลกำหนดให้มีประชามติ 3 ครั้งในกระบวนการจัดทํารัฐธรรมนูญใหม่ ได้แก่
- ประชาชนออกเสียงประชามติเห็นสมควรมีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่
- ถามประชาชนเกี่ยวกับรูปแบบ/วิธีการและสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญใหม่
- หลังจากร่างเสร็จ ให้ประชาชนออกเสียงเห็นชอบกับร่างสุดท้าย
- แต่ศาลก็เปิดช่องว่า ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมกันในครั้งเดียวได้ ถ้าสาระและคำถามสามารถออกแบบให้รวมกันได้
แนวทางที่พรรคเพื่อไทยเสนอ
พรรคเพื่อไทยมีจุดยืนชัดเจนหลังคำวินิจฉัย ว่า:
- จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 โดยเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้
- ส.ส.ร. อาจมาจากการแต่งตั้งโดยรัฐสภาหรือคณะกรรมาธิการ ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
- ประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจจัดพร้อมกันหรือไม่ ต้องมีการพิจารณาว่าจะรวมคำถามสำคัญ 2 ข้อ คือ (1) ประชาชนเห็นสมควรให้มีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ (2) ประชาชนเห็นชอบต่อหลักเกณฑ์/สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่
- พรรคเพื่อไทยตั้งคณะกรรมการศึกษาและเตรียมญัตติแก้ ม.256 เพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้เป็นรูปธรรม
ความร่วมมือ ภูมิใจไทย – พรรคประชาชน
- พรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน นัดหารือกันในสัปดาห์นี้ เพื่อเดินหน้าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ โดยเบื้องต้นมีความเห็นร่วมกันในเรื่องประชามติ 2 รอบ:
- รอบแรก: ถามประชาชนว่า “สมควรมีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่” + ถามสาระสำคัญ วิธีการของรัฐธรรมนูญใหม่
- รอบที่สอง: ถามเมื่อร่างใหม่เสร็จสิ้นแล้ว Thai Post
- มีการพูดคุยถึงรูปแบบ ส.ส.ร. ว่าจะได้มาทางอ้อม เช่น รัฐสภาเลือก หรือแต่งตั้ง ไม่ใช่การเลือกตั้งตรง เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ห้าม ส.ส.ร.มาตรงจากการเลือกตั้งได้
19 กันยายน 2568
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ได้มีการประกาศ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ (ครม. อนุทิน 1) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีรายชื่อดังนี้:
นายกรัฐมนตรี
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล (ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย)
รองนายกรัฐมนตรี
- นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม)
- นายโสภณ ซารัมย์
- ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า (ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
- นายสุชาติ ชมกลิ่น (ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
- นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ (ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง)
- นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ (รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย)
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- นายภราดร ปริศนานันทกุล
- นางสาวศุภมาส อิศรภักดี
- นายนภินทร ศรีสรรพางค์
- นายสันติ ปิยะทัต
รัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่าง ๆ
- กระทรวงการคลัง: นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ (ควบรองนายกฯ), นายวรภัค ธันยาวงษ์ (รมช.)
- กระทรวงการต่างประเทศ: นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว (รมว.)
- กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา: นายอรรถกร ศิริลัทยากร (รมว.)
- กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์: นายอัครา พรหมเผ่า (รมว.)
- กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล (รมว.)
- กระทรวงคมนาคม: นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (ควบรองนายกฯ), นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิชย์ (รมช.)
- กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม: นายไชยชนก ชิดชอบ (รมว.)
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: นายสุชาติ ชมกลิ่น (ควบรองนายกฯ)
- กระทรวงพาณิชย์: นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี (รมว.)
- กระทรวงมหาดไทย: นายอนุทิน ชาญวีรกูล (ควบนายกฯ), นายทรงศักดิ์ ทองศรี (รมช.), นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ (รมช.)
- กระทรวงสาธารณสุข: นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ (รมว.), นายวรโชติ สุคนธ์ขจร (รมช.)
- กระทรวงอุตสาหกรรม: นายธนกร วังบุญคงชนะ (รมว.)
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า (ควบรองนายกฯ), นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ (รมช.), นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ (รมช.)
- กระทรวงกลาโหม: พล.อ. ณัฐพล นาวรัตน์ (รมว.)
- กระทรวงวัฒนธรรม: นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ (รมว.)
โดยมีรายงานว่า ครม. ชุดใหม่นี้จะเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 24 กันยายน 2568


