ย้ายค่าย เพื่อประเทศ หรือ? เอาตัวรอด: วิเคราะห์ปรากฏการณ์การย้ายพรรคของนักการเมือง

ในทุกฤดูกาลเลือกตั้ง ภาพที่คุ้นตาของสังคมไทยคือ “การย้ายพรรค” ของนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ ปรากฏการณ์นี้มักถูกตั้งคำถามจากประชาชนว่า ส.ส.เหล่านั้น “ย้ายเพื่ออุดมการณ์” หรือ “ย้ายเพื่อเอาตัวรอดทางการเมือง” กันแน่

การย้ายพรรคเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่ในประเทศไทย แต่ในประเทศที่ระบบพรรคการเมืองยังไม่เข้มแข็งหรือมีการเมืองแบบอุปถัมภ์ (patronage politics) การย้ายพรรคกลับกลายเป็นเรื่องปกติ จนบางครั้งถูกมองว่าเป็น “กลยุทธ์เอาตัวรอด” มากกว่าการขับเคลื่อนเพื่อประชาชน

งานวิจัยและทฤษฎีที่อธิบายพฤติกรรม “ย้ายพรรค”

นักรัฐศาสตร์จำนวนมากได้ศึกษาเรื่องนี้ในหลากหลายมุมมอง เช่น

  • ทฤษฎีประโยชน์นิยมทางการเมือง (Political Utility Theory) มองว่านักการเมืองจะเลือกทางที่ให้ “ผลประโยชน์สูงสุด” ทั้งในแง่โอกาสชนะเลือกตั้ง อำนาจต่อรอง หรือผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
  • ทฤษฎีสถาบัน (Institutionalism) อธิบายว่าการย้ายพรรคเกิดขึ้นเพราะ “พรรคการเมืองไม่มีเสถียรภาพ” ขาดอุดมการณ์ที่ชัดเจน และระบบการเมืองเปิดช่องให้เปลี่ยนพรรคได้โดยไม่เสียตำแหน่ง
  • งานวิจัยของ Allen Hicken (University of Michigan, 2009) พบว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทยและฟิลิปปินส์ การย้ายพรรคมักสัมพันธ์กับ “ผลประโยชน์จากการเข้าร่วมรัฐบาล” มากกว่าความเชื่อทางอุดมการณ์
  • ในบริบทไทย นักวิชาการอย่าง ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เคยอธิบายว่า พรรคการเมืองไทยส่วนใหญ่เป็น “พรรคเฉพาะกิจ” ที่เกิดขึ้นเพื่อการเลือกตั้ง ทำให้ ส.ส.ไม่ได้ผูกพันกับพรรคในระยะยาว

เหตุผลหลักที่นักการเมืองย้ายพรรค

จากการรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยไทยและต่างประเทศ พบว่าการย้ายพรรคของ ส.ส. มีเหตุผลสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

  1. ผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
    การได้อยู่ในพรรคฝ่ายรัฐบาล หมายถึงโอกาสในการเข้าถึงงบประมาณ โครงการพัฒนาพื้นที่ และผลประโยชน์ทางการบริหาร เช่น ตำแหน่งรัฐมนตรีหรือกรรมาธิการสำคัญ
  2. โอกาสในการชนะเลือกตั้ง
    นักการเมืองจำนวนมากย้ายพรรคเพราะมองว่าพรรคเดิม “ไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล” หรือได้รับความนิยมลดลง จึงเลือกไปอยู่กับพรรคที่มีแนวโน้มชนะ เพื่อรักษาฐานเสียงและอำนาจในอนาคต
  3. ความขัดแย้งภายในพรรค
    ความแตกแยกระหว่างกลุ่มอิทธิพลภายในพรรค หรือการถูกลดบทบาท ทำให้นักการเมืองบางคนเลือกย้ายออก เพื่อสร้างพื้นที่ใหม่ของตนเอง
  4. อุดมการณ์หรือแนวนโยบายที่แตกต่าง
    แม้จะพบได้น้อยในบริบทไทย แต่ในประเทศที่ระบบพรรคเข้มแข็ง เช่น อังกฤษหรือเยอรมนี การย้ายพรรคอาจเกิดจาก “ความไม่สอดคล้องทางอุดมการณ์” จริง ๆ เช่น ความเห็นต่างเรื่องภาษี สิทธิมนุษยชน หรือสิ่งแวดล้อม
  5. แรงกดดันทางกฎหมายและคดีความ
    นักการเมืองบางรายอาจย้ายพรรคเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางการเมือง เช่น การถูกตัดสิทธิ์ หรือเพื่อหาที่พึ่งใหม่ที่มีอิทธิพลคุ้มครองได้

ผลดีและผลเสียจากการย้ายพรรค

ผลดี

  • เพิ่มความยืดหยุ่นทางการเมือง: การย้ายพรรคอาจช่วยให้นักการเมืองที่มีความสามารถได้อยู่ในพรรคที่สอดคล้องกับแนวคิดมากกว่าเดิม
  • ปรับสมดุลอำนาจ: การย้ายพรรคของบางกลุ่มอาจช่วยลดการผูกขาดของพรรคใหญ่ และกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันทางนโยบาย

ผลเสีย

  • บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน: ประชาชนมักมองว่าการย้ายพรรคคือการทรยศต่อเสียงของผู้เลือกตั้ง โดยเฉพาะเมื่อย้ายไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
  • ลดความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง: เมื่อพรรคกลายเป็นเพียง “ช่องทาง” เข้าสู่อำนาจ ระบบพรรคก็ไม่อาจพัฒนาเป็นสถาบันที่ยั่งยืนได้
  • ทำลายเสถียรภาพทางการเมือง: เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วบ่อยครั้ง รัฐบาลอาจขาดเสถียรภาพ ส่งผลต่อการบริหารประเทศและนโยบายระยะยาว

กรณีศึกษา: ไทยกับ “การย้ายค่ายเชิงเอาตัวรอด”

ในประเทศไทย การย้ายพรรคมักเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่คาดการณ์ได้ว่าพรรคใดจะเป็นรัฐบาล เช่น กรณีปี 2562 และ 2566 ที่หลาย ส.ส. จากพรรคฝ่ายค้านเดิม “ย้ายเข้าพรรคฝ่ายรัฐบาล” ก่อนเลือกตั้งไม่นาน เหตุผลที่พบบ่อยคือ “ต้องการทำงานต่อให้พื้นที่” หรือ “ต้องการอยู่ฝ่ายรัฐบาลเพื่อดึงงบพัฒนาเขตเลือกตั้ง”

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเชิงโครงสร้าง จะพบว่าการย้ายพรรคในไทยส่วนใหญ่ “ไม่ใช่การย้ายเพราะอุดมการณ์” แต่เป็น “การย้ายเพื่อเอาตัวรอดทางอำนาจ” โดยเฉพาะในระบบที่การจัดสรรงบประมาณยังขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลาง

ประชาชนได้อะไร (หรือเสียอะไร) จากการย้ายพรรค?

  • ได้:
    บางครั้งการย้ายพรรคทำให้ ส.ส. สามารถผลักดันงบประมาณและโครงการมาสู่พื้นที่ได้เร็วขึ้น หากพรรคใหม่อยู่ฝ่ายบริหาร
  • เสีย:
    ประชาชนอาจรู้สึกถูก “หักหลัง” เพราะผู้แทนที่ตนเลือกในนามพรรคหนึ่งกลับไปสนับสนุนอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ได้สอบถามหรือรับฟังเสียงจากฐานเลือกตั้งก่อน นอกจากนี้ การย้ายพรรคยังลดแรงจูงใจให้พรรคพัฒนาอุดมการณ์และนโยบายระยะยาว เพราะนักการเมืองสามารถย้ายได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องรับผิดชอบผลทางการเมือง

ย้ายค่าย เพื่อประเทศ หรือเอาตัวรอด?

คำตอบอาจไม่ชัดเจนในทุกกรณี แต่เมื่อพิจารณาจากหลักฐานทางวิชาการและพฤติกรรมจริงในไทย จะพบว่าการย้ายพรรคส่วนใหญ่ “เกิดจากการคำนวณทางการเมือง” มากกว่า “การขับเคลื่อนเพื่อประเทศชาติ”

ในประเทศที่ระบบพรรคเข้มแข็ง เช่น สหราชอาณาจักรหรือเยอรมนี การย้ายพรรคถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของนักการเมือง แต่ในไทย การย้ายพรรคกลับกลายเป็นเรื่องปกติ – สะท้อนถึงความอ่อนแอของโครงสร้างพรรคและระบบตัวแทนประชาชน

หากจะปฏิรูปการเมืองไทยให้ยั่งยืน จำเป็นต้องเริ่มจากการ “สร้างระบบพรรคที่มีอุดมการณ์จริง” และ “สร้างกลไกให้ประชาชนตรวจสอบการย้ายพรรคได้” เพราะสุดท้ายแล้ว การย้ายค่ายจะไม่ใช่ปัญหา หากผู้ย้ายตอบได้อย่างมั่นใจว่า – เขาย้ายเพื่อประเทศ มิใช่เพื่อเอาตัวรอด.

อ้างอิงบางส่วนจาก:

  • Hicken, Allen. Party Switching in the Philippines and Thailand, University of Michigan, 2009
  • วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2563) เรื่อง “พฤติกรรมการย้ายพรรคของนักการเมืองไทย”
  • บทสัมภาษณ์ ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • Journal of Political Studies, Vol. 27 (2021): The Dynamics of Party Switching in Emerging Democracies
สั่งสินค้าได้ที่นี่

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *