“เสียงที่จมน้ำ: แกะรอย ‘พรรคประชาชน’ กับโจทย์ใหญ่ ‘น้ำท่วมซ้ำซาก’ – เมื่อเทคโนโลยีต้องประจักษ์ในสนามจริงของรากหญ้า”

เมื่อ ‘เท้ง’ ลงอยุธยา… ปรากฏการณ์ที่มากกว่าการเมือง

ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2568 สถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ของประเทศไทยกลับมาเป็นวาระแห่งชาติอีกครั้ง โดยเฉพาะจังหวัดที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างพระนครศรีอยุธยา ท่ามกลางภาวะวิกฤตนี้ ข่าวการลงพื้นที่ของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมคณะ สส. เพื่อติดตามสถานการณ์และรับฟังปัญหาจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ จึงกลายเป็นภาพที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงในฐานะภารกิจของฝ่ายค้าน แต่เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับภาพลักษณ์ของพรรคที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นพรรคแห่งนโยบายสมัยใหม่และเทคโนโลยี (Tech-Savvy Party) ว่าจะสามารถเชื่อมโยงกับปัญหาพื้นฐานของ ‘ประชาชนรากหญ้า’ ที่กำลังเผชิญกับ ‘เสียงที่จมน้ำ’ ได้อย่างไร

ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก: โจทย์ใหญ่ที่สะท้อนความเหลื่อมล้ำ

การลงพื้นที่ของพรรคประชาชนในครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณถึง ‘การขยายฐานความเข้าใจ’ จากปัญหาเชิงโครงสร้างไปสู่ปัญหาเชิงปฏิบัติการที่ประชาชนรู้สึกได้จริง เป็นการพิสูจน์ว่าพรรคที่เน้นนโยบาย ‘สร้างโอกาส’ จะสามารถเข้าไป ‘บรรเทาทุกข์’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่

บทบาทใหม่: จาก ‘พรรคดิจิทัล’ สู่ ‘พรรคติดดิน’

พรรคประชาชนมักถูกวิเคราะห์ในฐานะผู้ขับเคลื่อนนโยบายที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี เช่น การปฏิรูประบบราชการด้วยดิจิทัล, การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นผ่านแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ แต่ปัญหาอย่างน้ำท่วมซ้ำซากต้องการการแก้ไขที่ซับซ้อนกว่าแค่การใช้แอปพลิเคชัน

คำถามเชิงลึกที่พรรคประชาชนต้องตอบ:

  1. นโยบายระยะยาว: พรรคประชาชนจะนำเสนอ ‘แผนบริหารจัดการน้ำระดับประเทศเชิงระบบ’ ที่ยั่งยืนอย่างไร? ไม่ใช่แค่การแจกถุงยังชีพ แต่เป็นการใช้เทคโนโลยี GIS (Geographic Information System) หรือ AI ในการวิเคราะห์การไหลของน้ำ การวางผังเมือง และการสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่สามารถใช้งานได้จริงในระดับหมู่บ้าน
  2. การสื่อสารกับรากหญ้า: จะทำอย่างไรให้ ‘ภาษาแห่งเทคโนโลยี’ แปลงเป็น ‘ภาษาแห่งความช่วยเหลือ’ ที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงชาวบ้านสูงวัย หรือผู้ที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึง?

นักวิเคราะห์มองว่า การลงพื้นที่ในอยุธยาครั้งนี้คือการสร้าง ‘ความน่าเชื่อถือทางอารมณ์’ (Emotional Credibility) ให้กับพรรค ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ ‘ความน่าเชื่อถือทางนโยบาย’ (Policy Credibility) เพื่อให้สามารถดึงดูดฐานเสียงรากหญ้าที่มีความผูกพันกับการเมืองแบบใกล้ชิด (Local Politics) ได้มากขึ้น

การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและผลกระทบทางการเมือง

การเคลื่อนไหวของพรรคประชาชนในช่วงเวลาที่ประชาชนกำลังเดือดร้อน ถือเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ชาญฉลาดในการ ‘สร้างความต่าง’ กับพรรคอื่น

  • มุมมองต่อรัฐบาล: หากรัฐบาลมีภาพของการจัดการที่ล่าช้าหรือไร้ประสิทธิภาพ ปฏิบัติการของพรรคประชาชนจะเป็นการตอกย้ำถึง ‘ช่องว่างแห่งความบกพร่อง’ ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อคะแนนความนิยมของรัฐบาลในสายตาของประชาชนรากหญ้า
  • มุมมองต่อพรรคประชาชน: การแสดงความห่วงใยในปัญหาพื้นฐานที่สุดของรากหญ้าจะช่วยลบข้อกังขาที่ว่าพรรคนี้เป็นเพียง ‘พรรคของคนเมือง/คนรุ่นใหม่’ เท่านั้น และเป็นการส่งสารว่า “เราเข้าใจปัญหาของคุณ แม้เราจะเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่เราก็ไม่ทอดทิ้งปัญหาเฉพาะหน้า”

สะพานเชื่อมระหว่างนโยบายกับความรู้สึก

การลงพื้นที่น้ำท่วมของพรรคประชาชนไม่ใช่เพียงแค่การแจกถุงยังชีพ แต่คือการพยายามสร้าง ‘สะพานเชื่อม’ ระหว่างวิสัยทัศน์อันก้าวหน้าของพรรคกับความเป็นจริงอันหนักหน่วงของชีวิตประชาชนรากหญ้า เสียงที่จมน้ำ ที่พวกเขาได้ยินในวันนี้จะต้องถูกเปลี่ยนเป็น นโยบายที่สามารถป้องกันน้ำท่วมซ้ำซากได้อย่างแท้จริง ในวันหน้า หากพรรคประชาชนสามารถนำปัญหาจากการลงพื้นที่จริงไปผลักดันเป็นนโยบายหรือการตรวจสอบรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ นี่จะเป็นการสร้างความชอบธรรมที่แข็งแกร่งที่สุดในสายตาของฐานเสียงรากหญ้าอย่างแน่นอน.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *