จากสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนระหว่างประเทศไทย และกัมพูชา เราลองมาดูว่า ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับธุระกิจไทย ในกัมพูชาบ้าง พบว่า ธุรกิจไทยที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา ณ ปี 2025 มีทั้งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างกว้างขวาง และมีผลประกอบการเด่น ดังนี้ :

1. PTT Oil and Retail Business (OR) OR มีสถานีบริการน้ำมัน PTT และร้าน Café Amazon , ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy หรือ 7‑Eleven Mart ในกัมพูชาเป็นจำนวนมาก ปัจจุบัน OR ดำเนินธุรกิจในกัมพูชา โดยมีสถานี PTT จำนวน 186 สาขา , ร้าน Café Amazon 254 สาขา และร้านคอนวีเนียนอื่นอีก 71 แห่ง (อ้างอิงจาก Bangkok Post)
บริษัทมีแผนลงทุนเพิ่มอีก 8,000 ล้านบาท (ประมาณ 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ระหว่างปี 2024–2028 เพื่อขยายสาขาและพัฒนาระบบค้าปลีกในภูมิภาคนี้ นับเป็นธุรกิจไทยที่มีรายได้ต่างประเทศสูงสุดในกัมพูชา และถูกมองเป็น “ฐานที่สอง” ของ OR
2. Charoen Pokphand Group (CP Group) รวมถึง CP ALL และ BJC (Big C / Makro) CP Group นำ 7‑Eleven ลงในกัมพูชา จากข้อมูลในปี 2024 มีสาขา CP All จำนวน 112 แห่ง , CP Axtra จำนวน 3 สาขา , และ Big C (BJC) จำนวนประมาณ 25 สาขาในกัมพูชา
Big C เริ่มเปิดสาขาแรกในกัมพูชาเมื่อปี 2019 ที่ Poipet และขยายอย่างรวดเร็วในพนมเปญและเสียมเรียบ ตั้งเป้าเปิดหลายร้อยสาขาอีกหลายปีข้างหน้า เครือ CP Group ดำเนินทั้งค้าปลีกแบบสะดวกซื้อและค้าส่ง (Cash & Carry) อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ครอบคลุมตลาดกัมพูชามากที่สุด
3. CPF (Charoen Pokphand Foods) CPF ลงทุนในกัมพูชาทั้งผลิตอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ซึ่งเป็นฐานผลิตอาหารเพื่อบริโภคในกัมพูชาโดยตรง โดยมีรายได้จากตลาดนี้คิดเป็น 3–4% ของรายได้รวม Money & Banking MagazineWikipedia
4. Major Cineplex (โรงภาพยนตร์) Major Cineplex มีธุรกิจโรงภาพยนตร์ในกัมพูชา เช่น Major Platinum Cineplex ซึ่งถือเป็นผู้ให้บริการโรงภาพยนตร์รายใหญ่ในประเทศ



สรุปอันดับธุรกิจไทยในกัมพูชา
- PTT (OR) สถานีบริการน้ำมัน Café Amazon และร้านค้าสะดวกซื้อจำนวนมาก
- CP Group (CP ALL, BJC–Big C) ร้านค้าสะดวกซื้อ 7‑Eleven และฮาร์ดแวร์/ค้าส่ง Makro/Big C
- CPF ธุรกิจผลิตอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปในกัมพูชา
- Major Cineplex โรงภาพยนตร์ Major Cineplex / EGV ในเมืองใหญ่ของกัมพูชา
บทวิเคราะห์เพิ่มเติม : OR เป็นธุรกิจที่มีมูลค่าลงทุนและจำนวนสาขาสูงสุดในกัมพูชา และถือว่าเป็นตลาดต่างประเทศหลักของบริษัท , CP Group ถือเป็นกลุ่มค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุด โดยมีการดำเนินธุรกิจผ่านหลายแบรนด์ (7‑Eleven, Big C, Makro) ทั้งในเมืองชายแดนและเมืองใหญ่ ถึงแม้ CPF จะมีสัดส่วนน้อยกว่า OR และ CP Group ในภาพรวม แต่ก็ยังถือเป็นผู้เล่นหลักด้านอาหารในประเทศ , Major Cineplex เป็นผู้เล่นเด่นด้านความบันเทิงและโรงภาพยนตร์อย่างชัดเจนในตลาดกัมพูชา.
จากสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนระหว่าง ไทย–กัมพูชาในปี 2025 ส่งผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อ 4 ธุรกิจไทยขนาดใหญ่ที่ดำเนินกิจการในกัมพูชา ดังนี้ :
- PTT / OR (ปั๊มน้ำมัน PTT & Café Amazon) ผลกระทบ : การขนส่งน้ำมันข้ามแดน ชะลอตัว โดยเฉพาะในเขต ปอยเปต (ซึ่งติดกับอรัญประเทศ) ทำให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้น ความไม่มั่นคงชายแดน อาจกระทบกับ แผนขยายสถานีในโซนชายแดน มีความเสี่ยงด้าน ความปลอดภัยของคลังเก็บน้ำมัน/ทรัพย์สิน
- CP Group (CP ALL / 7-Eleven / Big C) ผลกระทบ : ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) อาจสะดุดจากฝั่งไทยเข้าสู่กัมพูชา ความไม่มั่นคงอาจทำให้แรงงานท้องถิ่นบางส่วนไม่กล้าทำงาน นักท่องเที่ยวลดลง ทำให้ยอดขายหน้าร้านในบางเขตหดตัว
- CPF (ธุรกิจอาหารและปศุสัตว์) ผลกระทบ : การขนส่งวัตถุดิบหรือสินค้าไปชายแดนหรือส่งออก อาจต้องอ้อมเส้นทาง หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจกระทบ ตลาดผู้บริโภคภายใน ลดความมั่นใจในการซื้อ
- Major Cineplex (ธุรกิจบันเทิง / โรงหนัง) ผลกระทบ : ผู้คนอาจลดการออกมาดูหนังจากความกังวลด้านความมั่นคง รายได้จากโฆษณา และสินค้ารอบโรงภาพยนตร์อาจหดตัวชั่วคราว
ข้อได้เปรียบของทั้ง 4 บริษัท : ส่วนใหญ่ เน้นพื้นที่ในเมือง ไม่ใช่ชายแดนโดยตรง
มีระบบบริหารความเสี่ยงระดับภูมิภาค รัฐบาลกัมพูชา ยังไม่สั่งปิดกิจการธุรกิจไทย ในประเทศ หากสถานการณ์ยืดเยื้อในระยะยาว บริษัทเหล่านี้อาจต้อง : กระจายความเสี่ยงโดยใช้ซัพพลายจากประเทศที่ 3 ปรับเส้นทางขนส่งใหม่ เร่งทำ CSR เพื่อสร้างภาพลักษณ์ในท้องถิ่น.
อ่านข่าวอื่น ๆ :