ไทย – กัมพูชา บนสมรภูมิ “สงครามข่าวสาร” กับแรงปะทะของชาตินิยมร่วมสมัย

แม้ในระดับการทูตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ยังไม่มีสัญญาณของการปะทะทางทหารโดยตรง หรือการเผชิญหน้าที่แน่นอนบริเวณชายแดน แต่ในเชิงสังคมและวัฒนธรรม สงครามอีกรูปแบบหนึ่งได้ปะทุขึ้นแล้ว นั่นคือ “สงครามข่าวสาร (Information Warfare)” ซึ่งกำลังขยายตัวในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว และผลักดันให้เกิด กระแสชาตินิยม ในหมู่ประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างชัดเจน

วิเคราะห์ : “สงครามข่าวสาร” (Information Warfare) หมายถึง การใช้ข้อมูล ข่าวเท็จ หรือการบิดเบือนข้อมูล เพื่อสร้างความเข้าใจผิดหรือปลุกเร้าอารมณ์ในสังคมเป้าหมาย โดยมีเป้าหมายในการกดดันหรือบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม

ตัวอย่างกรณี :

  • จากกรณีดารา-อินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาออกมาวิพากษ์วิจารณ์ไทย พร้อมการปั่นกระแสผ่าน TikTok และ Facebook ด้วยคำพูดดูหมิ่น สื่อไทยหลายสำนักได้ตอบโต้ผ่านสกู๊ปข่าวที่สร้างภาพลักษณ์ของ “ความถูกรุกราน”
  • การตัดต่อภาพประวัติศาสตร์ เช่น ปราสาทพระวิหาร ถูกหยิบมาใช้ซ้ำๆ เพื่อย้ำความชอบธรรมในฝ่ายตน
  • รายงานข่าวในฝั่งกัมพูชาอ้างว่าไทย “ขโมยมรดกทางวัฒนธรรม” โดยไม่ชี้แจงบริบททางประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน

ประเด็นวิเคราะห์ :

  • ข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง สร้าง Echo Chamber ที่ผู้ใช้งานรับข้อมูลเพียงด้านเดียว
  • การบิดเบือนข้อเท็จจริง (Disinformation) ส่งผลให้ผู้รับสารเกิด “ความเชื่ออิงอารมณ์” มากกว่าเหตุผล

ชาตินิยม (Nationalism) ที่กำลังลุกลาม

อธิบายผ่านทฤษฎี : ตามแนวคิดของ Benedict Anderson เรื่อง “ชุมชนจินตกรรม” (Imagined Communities)  – ชาติคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นผ่านการเล่าเรื่องซ้ำ ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ภาษา และวัฒนธรรม การขับเน้น “เรา” กับ “พวกเขา” (Us vs. Them) ทำให้ชาตินิยมเกิดขึ้นง่าย โดยเฉพาะในบริบทที่มีความขัดแย้ง

ตัวอย่างปรากฏการณ์ :

  • ในไทย เกิดกระแส “ไม่ซื้อสินค้า-ไม่เที่ยวกัมพูชา” และการเรียกร้องให้รัฐไทยออกมาตอบโต้ทางการทูต
  • ในกัมพูชา มีการชุมนุมย่อยและการทำคลิปต่อต้านไทย โดยโยงเข้ากับประวัติศาสตร์ยุคล่าอาณานิคม
  • สื่อทั้งสองฝ่ายนำประเด็นเก่า เช่น กรณีเขาพระวิหาร (ปี 2505) และเหตุการณ์ปะทะปี 2551 กลับมาเสนอซ้ำ สร้างความรู้สึก “ไม่จบสิ้น” ของความบาดหมาง

บทเรียนจากอดีต : ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?

กรณีศึกษา : ปี 2546 เหตุจลาจลหน้าสถานทูตไทยในพนมเปญ

  • จุดเริ่มมาจาก “ข่าวปลอม” ว่านักแสดงไทยดูหมิ่นกัมพูชา
  • ปลุกกระแสชาตินิยม นำไปสู่ความรุนแรงทางกายภาพ
  • สุดท้าย รัฐบาลทั้งสองประเทศต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นความสัมพันธ์

บทเรียนคือ ข่าวสารที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ และชาตินิยมที่ไม่มีสติ สามารถนำไปสู่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ สังคม และความเชื่อมโยงในระดับประชาชน

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและสังคม

  1. รัฐควรออกมาตรการจัดการข่าวปลอมอย่างจริงจัง โดยใช้หน่วยงานอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงระหว่างประเทศ
  2. สื่อมวลชนควรทำหน้าที่ตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลแบบสมดุล ไม่ใช้โทน “ชวนเกลียด” หรือ “อคติ”
  3. ประชาชนควรใช้สื่ออย่างมีวิจารณญาณ (Media Literacy) และเข้าใจว่าความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ไม่ใช่ข้ออ้างในการเกลียดชังกันในยุคปัจจุบัน
  4. ส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมระดับประชาชน (People-to-People Diplomacy) เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกัน

บทสรุป ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในวันนี้ อาจไม่ใช่การรบกันด้วยอาวุธ แต่เป็นการรบในสนามข่าว สื่อ และความรู้สึกของประชาชน ทั้งสองประเทศต้องระวังไม่ให้ ชาตินิยมกลายเป็น “กับดัก” ที่ทำให้ปัญหาเล็กกลายเป็นไฟสงคราม ความจริง ความยุติธรรม และความเข้าใจในบริบทของกันและกัน คืออาวุธเดียวที่พาเราออกจากวงจรนี้ได้.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *