
ในโลกของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไม่มีอะไรอันตรายเท่ากับ “การปฏิเสธความจริง” โดยเฉพาะเมื่อความจริงนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตชายแดนไทย-กัมพูชา ฝ่ายกัมพูชาออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่เกี่ยวข้อง” แต่เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของประเทศเอง คำปฏิเสธนั้นดูจะ “สวนทางกับข้อเท็จจริง” อย่างยิ่ง

ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ: กัมพูชากับมรดกทุ่นระเบิด
กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทุ่นระเบิดตกค้างมากที่สุดในโลก โดยข้อมูลจากองค์กรระหว่างประเทศระบุว่าอาจมีระเบิดที่ยังไม่ระเบิดอยู่ในประเทศมากกว่า 4–6 ล้านลูก ตกค้างมาตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมือง ยุคเขมรแดง การแทรกแซงของเวียดนาม และสงครามอินโดจีนที่ใช้ผืนแผ่นดินกัมพูชาเป็นสนามรบ
นับตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมา กัมพูชามีผู้ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดมากกว่า 64,000 คน ในจำนวนนี้กว่า 25,000 คนต้องกลายเป็นผู้พิการถาวร และที่น่าเศร้าที่สุดคือ เด็กหลายคนต้องจบชีวิตลงเพียงเพราะเข้าไปเก็บของเล่น หรือเศษเหล็กจากพื้นที่ปนเปื้อนโดยไม่รู้เลยว่านั่นคือ “อาวุธที่ยังไม่หมดเวลา”

ชายแดนตะวันตก : พื้นที่สีแดงของทุ่นระเบิด
พื้นที่ชายแดนฝั่งตะวันตกของกัมพูชา เช่น จังหวัดบันเตียเมียนเจย, พระวิหาร และอุดรมีชัย เป็นเขตที่มีการตรวจพบทุ่นระเบิดและอาวุธตกค้างเป็นจำนวนมากในอดีต โดยหลายจุดติดกับชายแดนไทย การที่มีการกล่าวหาว่ามีการวางทุ่นระเบิดใหม่ในฝั่งไทย ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องมีการสอบสวนด้วยหลักฐานที่หนักแน่น ไม่ใช่แค่ “คำปฏิเสธ” ที่ไม่มีคำอธิบายสนับสนุน
เมื่ออดีตยังหลอกหลอนปัจจุบัน
ประเทศที่ประชาชนของตัวเองต้องจบชีวิตจากทุ่นระเบิดเป็นหมื่นราย ควรเป็นประเทศที่เข้าใจดีถึง “ความน่ากลัวของอาวุธเงียบ” และควรเป็นประเทศแรกที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรม ไม่ใช่ประเทศที่ปฏิเสธเสียงแข็งโดยไม่ไตร่ตรองหรือแสดงท่าทีสำนึกในความรับผิดชอบทางศีลธรรม

ในทางกลับกัน การโยนความผิดให้ประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง กลับสะท้อนถึง “วัฒนธรรมปฏิเสธความรับผิด” ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการปล่อยให้ทุ่นระเบิดอยู่ใต้ดิน แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่รู้ว่าเมื่อไรที่มันปะทุ ความเสียหายย่อมไม่เลือกฝั่ง ไม่เลือกลูกหลานของใคร
ความรับผิดชอบที่ไม่สามารถ “โยนทิ้ง” ได้
บทเรียนจากกัมพูชาในฐานะประเทศที่บอบช้ำจากทุ่นระเบิดน่าจะทำให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งว่า อาวุธเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าแค่ศัตรู แต่มันฆ่าอนาคตของชาติด้วย

หากกัมพูชาไม่ได้วางทุ่นระเบิดใหม่จริง ก็ควรเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส ร่วมมือกับนานาชาติอย่างจริงจัง และแสดงจุดยืนต่อต้านทุ่นระเบิดในทุกมิติ ไม่ใช่แค่บนเวทีระหว่างประเทศ แต่ต้องเริ่มที่ชายแดนของตัวเองก่อน

เพราะในสงครามแห่งความไว้ใจ “ความเงียบและการปฏิเสธ” อาจทำลายได้รุนแรงยิ่งกว่าเสียงระเบิดเสียอีก
อ่านข่าวอื่น ๆ :
- พลังเงียบ หรือ แรงผลักดัน? เจาะ 3 ช่องทางกฎหมายที่ ประชาชน สามารถใช้ “ช่วย” บิ๊กโจ๊ก ได้จริงหรือไม่?
- วิเคราะห์: ปิดประตูคืนรัง? ส่อง 3 เส้นทางกฎหมาย “บิ๊กโจ๊ก” กับการกลับมาเป็นตำรวจ ได้หรือไม่?
- วิเคราะห์ 1 ปี ‘ผบ.ตร. กิตติ์รัฐ’ สถิติจริงสวนทาง ‘อาชญากรรมพุ่ง’? เดิมพันลบเงา ‘บิ๊กโจ๊ก’
- เสียงอันตรายจากชายแดน สัญญาณเตือนดังว่า “มันไม่จบง่าย”
- 3 ปี พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 “ปฏิรูปตำรวจ” ล้มเหลวซ้ำซาก หรือแค่ “ละครน้ำเน่า” ที่ผู้มีอำนาจไม่เคยคิดจะเปลี่ยน



