กัมพูชาและไทย กำลังเผชิญทางเลือก : ปล่อยให้ขัดแย้งบานปลาย หรือก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค

โดย : อาร์โน ดาร์ค (นักธุรกิจชาวฝรั่งเศสในกัมพูชา และนักวิเคราะห์ภูมิภาค ประจำอยู่ที่กรุงพนมเปญ)

วิกฤตชายแดนกัมพูชา–ไทย มิใช่เพียงข้อพิพาทด้านภูมิศาสตร์ หากแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการกำหนดอนาคตของความเป็นผู้นำอาเซียนในศตวรรษที่ 21

เมื่อความตึงเครียดบริเวณปราสาทตาเมือนธม ทวีความรุนแรงขึ้น และสะท้อนเหตุการณ์ปะทะ ณ เขาพระวิหารเมื่อปี 2551 ทั้งสองประเทศกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง รวมถึงความน่าเชื่อถือของอาเซียนในฐานะกลไกการคลี่คลายความขัดแยง

บทเรียนจากประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่า : ชาติที่เติบโตแล้ว เลือกใช้ “การเจรจา” แทน “การเผชิญหน้า” เมื่อคู่แข่งกลายเป็นพันธมิตร : บทเรียนจากนานาชาติในการแก้ไขความขัดแย้ง

  • ชิลีและอาร์เจนตินา (1978–1984) : เกือบเกิดสงครามเหนือหมู่เกาะบีเกิล แต่ทั้งสองประเทศเลือกให้วาติกันเป็นผู้ไกล่เกลี่ย สุดท้ายได้มีการลงนาม “สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพ” ปี 1984 และเปลี่ยนสถานะจากคู่แข่งเป็นพันธมิตรอย่างแท้จริง ปัจจุบันแนวพรมแดนของทั้งสองถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่สงบที่สุดของอเมริกาใต้
  • จีนและรัสเซีย (2001–2004) : ยุติข้อพิพาทดินแดนตามแนวชายแดนกว่า 4,300 กิโลเมตร ผ่านการเจรจาเชิงขั้นตอนและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ส่งผลให้ในปี 2023 มูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 190,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • เยอรมนีและโปแลนด์ (1990) : เลือกยอมรับเส้นเขตแดนโอเดอร์–ไนส์เซ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้จะไม่เป็นที่นิยมในเยอรมนีขณะนั้น แต่ได้กลายเป็นรากฐานของการขยายตัวของสหภาพยุโรปและสันติภาพระยะยาวในภูมิภาค

บทเรียนสำคัญ : ประเทศที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ถูกจดจำจาก “จำนวนดินแดนที่ถือครอง” แต่จาก “จำนวนความขัดแย้งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้” เรื่องราวความสำเร็จของอาเซียน : หลักฐานเชิงประจักษ์

  • มาเลเซียและสิงคโปร์ : นำข้อพิพาทเรื่องเกาะเปดรา บรังกา เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ทั้งที่มีแรงกดดันจากสาธารณชน แต่ทั้งสองประเทศเคารพคำตัดสินในปี 2008 และยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ามูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ได้อย่างราบรื่น
  • อินโดนีเซียและมาเลเซีย : แก้ไขข้อพิพาทเรื่องเกาะสิปาดัน และลิกิตัน ในปี 2002 ผ่าน ICJ มาเลเซียได้รับสิทธิเหนือเกาะทั้งสอง แต่ความร่วมมือระหว่างสองประเทศยังคงมั่นคง

สรุป : ประเทศอาเซียนสามารถแก้ไขข้อพิพาทอธิปไตยอย่างสันติ ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่สูญเสียศักดิ์ศรีแห่งชาติ – หากผู้นำสามารถก้าวข้ามประชานิยมไปได้

ราคาที่ต้องจ่ายจาก “ความภูมิใจ”: สิ่งที่ตกอยู่ในความเสี่ยง

  • การปิดด่านชายแดนเท่ากับการปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ
  • ไทยและกัมพูชา เคยมีมูลค่าการค้าร่วม 7.1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี โดย 63% ผ่านด่านปอยเปต ซึ่งขณะนี้หยุดชะงัก
  • มีแรงงานชาวกัมพูชา กว่า 1 ล้านคน ในไทย ส่งเงินกลับบ้านปีละราว 2.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเลี้ยงดูประชากรราว 4 ล้านคน – ขณะนี้กำลังเผชิญความไม่แน่นอน
  • กัมพูชา อาจต้องเปลี่ยนเส้นทางนำเข้าน้ำมันจากไทย (มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์/ปี) ไปยังเวียดนามหรือสิงคโปร์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 20%
  • การท่องเที่ยวทรุดหนัก : นักท่องเที่ยวไทยคิดเป็น 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในกัมพูชา สร้างรายได้ราว 1.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 หากพรมแดนยังปิด กัมพูชาอาจสูญรายได้ปีละ 300 ล้านดอลลาร์
  • ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอในกัมพูชาซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 7 พันล้านดอลลาร์ และมีแรงงาน 750,000 คน พึ่งพาโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน – ความล่าช้าส่งผลต่อแรงงานโดยตรง
  • จังหวัดชายแดนของไทย ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยกิจกรรมเศรษฐกิจกว่า 150 ล้านดอลลาร์ต่อปี ที่เกิดจากการค้าชายแดน คาสิโน และการท่องเที่ยวตกอยู่ในความเสี่ยง

แม้กัมพูชาจะเสียหายในเชิงตัวเลขมากกว่า แต่ทั้งสองประเทศกำลังสูญเสียสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่า – ความน่าเชื่อถือ ความมั่นคง และบทบาทผู้นำในอาเซียน

ทางออกข้างหน้า : ยุทธศาสตร์ 5 ข้อเพื่อสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน

  1. อาเซียนควรใช้การทูตเบื้องหลัง (shuttle diplomacy) โดยมีการหารือนอกรอบอย่างเงียบ ๆ การประชุมสุดยอดอาเซียนในเดือนพฤศจิกายน 2025 ที่มาเลเซีย อาจเป็นเวทีที่เหมาะสม
  2. ทั้งสองฝ่ายควรดำเนินมาตรการสร้างความไว้วางใจแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น เปิดช่องทางมนุษยธรรม ข้ามแดนพลเรือน หรือจัดเวรลาดตระเวนร่วม
  3. ข้อพิพาทที่ยังไม่ได้ข้อยุติ เช่น บริเวณตาเมือนธม ควรถูกนำเข้าสู่ศาลโลก (ICJ) ดังที่เคยดำเนินการกับเขาพระวิหารและเปดรา บรังกา แม้จะมีความเสี่ยงจากแรงต้านภายในประเทศ แต่ ICJ ยังคงเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือที่สุด
  4. ภาคประชาสังคม ควรได้รับการสนับสนุน เช่น การแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ มหาวิทยาลัยราชภัฏพนมเปญ เทศกาลวัฒนธรรมชายแดน ฟอรั่มหอการค้าร่วม หรือการทูตเยาวชนไตรภาคี NGO พื้นที่ปอยเปตและอรัญประเทศควรได้รับการหนุนเสริม งบประมาณสามารถมาจากมูลนิธิอาเซียนหรือประเทศผู้บริจาค (500,000 – 2 ล้านดอลลาร์/ปี)
  5. พลิกโฉมปอยเปต – อรัญประเทศ ให้เป็นเขตเศรษฐกิจร่วมพิเศษ (SEZ) สร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบศุลกากรร่วม เพื่อให้เกิดการค้าการลงทุนระยะยาว สามารถเริ่มต้นได้ด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โดยได้รับการสนับสนุนจาก UNESCAP หรือ ADB

จุดตัดสินของอาเซียน : วิกฤตนี้คือบททดสอบแห่งยุค

ความขัดแย้งในครั้งนี้ เป็นเวทีทดสอบว่าอาเซียนจะสามารถเติบโตเป็นองค์กรที่จัดการความขัดแย้งได้จริงหรือไม่ หากทำได้ จะเสริมความน่าเชื่อถือของอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลังเผชิญอัมพาตในประเด็นทะเลจีนใต้ หากล้มเหลว อาเซียนอาจเปิดทางให้มหาอำนาจภายนอกเข้ามาแทรกแซง

  • จีนลงทุนกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ในกัมพูชา ภายใต้โครงการ Belt and Road
  • อินเดียผลักดันโครงการ Act East มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์
  • สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และประเทศพันธมิตรอื่น ๆ กำลังจับตาดู

หากไทยและกัมพูชายังคงแตกแยก ไม่เพียงแต่อ่อนแอทางเศรษฐกิจ – แต่จะอ่อนแอทางการทูตด้วย

เวลาแห่งความกล้าหาญ : ผู้นำที่โลกต้องการ

แม้ทั้งสองรัฐบาลมีข้อจำกัด :

  • ฝ่ายไทยยังมีอิทธิพลทหารในนโยบายต่างประเทศ และแรงกดดันจากชาตินิยมภายใน
  • ฝ่ายกัมพูชาอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านผู้นำรุ่นใหม่ ซึ่งต้องหาสมดุลระหว่างความเด็ดขาดกับการทูต

แต่ปฏิทินการเมืองยังเปิดโอกาส :

  • การประชุมอาเซียนในพฤศจิกายน 2025 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นความสัมพันธ์
  • หลังการเลือกตั้งไทยปี 2027 อาจได้รัฐบาลที่มีพื้นที่เจรจามากขึ้น
  • การเลือกตั้งกัมพูชาในปี 2028 อาจใช้เวทีอาเซียนเป็นช่องแสดงบทบาทผู้นำระดับภูมิภาค

บทสรุป : ทางเลือกที่นิยามอนาคต นี่ไม่ใช่แค่เรื่อง “ดินแดนไม่กี่เมตร” แต่มันคือคำถามว่า ไทยและกัมพูชา จะถูกจดจำว่าเป็นประเทศที่เลือก “ปัญญาแทนความทะนง” “ความมั่งคั่งแทนสัญลักษณ์” และ “ความร่วมมือแทนความขัดแย้ง” หรือไม่เส้นทางมีอยู่จริง ตัวอย่างมีให้เห็น โอกาสทางเศรษฐกิจชัดเจน  สิ่งเดียวที่ขาด… คือ “ความกล้าที่จะก้าวนำ” ไทยและกัมพูชาสามารถเป็นตัวอย่างแห่งความสำเร็จให้ผู้นำอาเซียนรุ่นต่อไป คำถามไม่ใช่ “สามารถเจรจาได้หรือไม่” แต่คือ “จะเลือกเป็นผู้นำหรือไม่”

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *