ความรู้ทั่วไป

ทำไม? ต้องมีหูฟังไร้สาย

การมีหูฟังไร้สาย ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน แต่กลายเป็นที่นิยมเพราะให้ประโยชน์ในบางด้านที่หูฟังมีสายทำไม่ได้ : ข้อดีหลัก ข้อเสีย/สิ่งที่ต้องพิจารณา การเลือกหูฟังไร้สายราคาถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับ ความต้องการใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ราคาอย่างเดียว มาดูปัจจัยที่เกี่ยวข้อง : ทำไมบางคนเลือกหูฟังไร้สายราคาถูก ความแตกต่างกับหูฟังราคาแพง คุณสมบัติ หูฟังราคาถูก (~300–800฿) หูฟังราคากลาง–แพง (2,000฿+) เสียง คุณภาพพอใช้, เบสบางครั้งไม่แม่น ชัดกว่า, เบสแน่น, แยกเสียงดีกว่า ไมโครโฟน ใช้ได้ในที่เงียบ ดีกว่า, ตัดเสียงรบกวน, โทรชัด การเชื่อมต่อ อาจหลุด, latency สูง เสถียรกว่า, aptX/LDAC รองรับ แบตเตอรี่ 3–4 ชม. ต่อครั้ง 6–10 ชม. ต่อครั้ง + เคสใหญ่กว่า ความทนทาน พลาสติกทั่วไป, กันน้ำต่ำ วัสดุดี, มีมาตรฐาน IPX, ใช้นานกว่า การซ่อม/ประกัน มักไม่มีประกันจริงจัง มีศูนย์บริการ, […]

อ่านต่อ

ทำไมคำว่า “เขมร” ถึงไม่เป็นที่ยอมรับในกัมพูชา?

นักวิชาการชี้บริบททางประวัติศาสตร์และการใช้คำในไทยอาจมีนัยยะเชิงลบ แม้คำว่า “เขมร” จะถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย เพื่ออ้างถึงประเทศกัมพูชา ชาวกัมพูชา หรือวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ Khmer แต่ในมุมมองของชาวกัมพูชาหลายคน คำนี้กลับสร้างความรู้สึกไม่สบายใจ และในบางกรณีอาจถูกมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ หรือแม้แต่มีลักษณะดูแคลนโดยไม่รู้ตัว ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวัฒนธรรมเปรียบเทียบ ชี้ว่า ความไม่พึงพอใจของชาวกัมพูชาอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวคำเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับบริบททางประวัติศาสตร์ ภาพจำในสื่อไทย และวิธีการใช้งานในสังคมไทยที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง บริบททางภาษาและความต่างในการรับรู้ ในขณะที่คนไทยเรียกเพื่อนบ้านทางตะวันออกว่า “เขมร” มาตั้งแต่ในอดีต ชาวกัมพูชาเรียกตนเองว่า “Khmer” (อ่านว่า เขมา) ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายในเชิงบวก เป็นตัวแทนอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม โดยไม่รู้สึกว่ามีความหมายด้านลบ อย่างไรก็ตาม ในภาษาไทย คำว่า “เขมร” ถูกใช้ในหลากหลายบริบท ทั้งเชิงทางการและไม่เป็นทางการ เช่น การเปรียบเปรยในภาษาพูดว่า “พูดเป็นภาษาเขมร” เพื่อสื่อว่าฟังไม่รู้เรื่อง หรือ “หน้าเหมือนเขมร” ในเชิงล้อเลียนรูปลักษณ์ ซึ่งส่งผลให้คำนี้ถูกตีความว่าเป็นการลดทอนคุณค่าของอีกฝ่าย ปัจจัยด้านประวัติศาสตร์และอคติในวาทกรรมไทย นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระบุว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ในประวัติศาสตร์ มีทั้งช่วงเวลาของความใกล้ชิดและความขัดแย้ง โดยเฉพาะกรณีพิพาทด้านดินแดน เช่น ข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร รวมถึงการตีความประวัติศาสตร์ต่างมุมระหว่างสองประเทศ บริบทเหล่านี้สะท้อนอยู่ในสื่อและวาทกรรมของสังคมไทย […]

อ่านต่อ

Y Content คืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? ทำไม? ไทยต้องพัฒนา

Y Content คือแนวคิดเกี่ยวกับ “เนื้อหาสำหรับคนรุ่น Y” ซึ่งหมายถึงเนื้อหาที่สร้างขึ้นเพื่อ ตอบสนองความสนใจ พฤติกรรม และรูปแบบการบริโภคสื่อของคนรุ่น Y (Generation Y) หรือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2523 – 2540 (ค.ศ. 1980 – 1996) ซึ่งปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในสังคม ทั้งในฐานะ แรงงานหลัก ผู้บริโภคหลัก และผู้ขับเคลื่อนวัฒนธรรมดิจิทัล ของประเทศ ความหมายของ Y Content คือ เนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่ออกแบบเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่น Y โดยเฉพาะ ทั้งในเชิง สื่อสาร การตลาด การศึกษา หรือสื่อสาธารณะ โดยมุ่งเน้นให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของคนรุ่นนี้ เช่น : ต้องการ “ความจริงใจ” และ “ความโปร่งใส” ให้ความสำคัญกับ คุณค่าและจุดยืนทางสังคม บริโภคเนื้อหาผ่าน ดิจิทัล แพลตฟอร์ม เช่น Facebook, YouTube, Instagram, […]

อ่านต่อ

ประวัติความเป็นมาของการจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง

งานนิคมสร้างตนเอง เป็นงานจัดสวัสดิการสังคมรูปแบบหนึ่ง ซึ่งได้ดำเนินการมาพร้อมกับการก่อตั้งกรมประชาสงเคราะห์ เมื่อปี พ.ศ. 2483(กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการในปัจจุบัน) โดย “จอมพล ป.พิบูลสงคราม” นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้มีแนวคิดที่จะนำที่ดินรกร้างว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์ “เพื่อช่วยเหลือคนยากจน” ให้มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินในลักษณะชุมชนที่เป็นระเบียบ พัฒนาให้มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แล้วให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น ชุมชนที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า “นิคมสร้างตนเอง” และราษฎรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเรียกว่า “สมาชิกนิคม” นิคมสร้างตนเองแห่งแรกที่ได้รับจัดตั้งขึ้นคือ “นิคมสร้างตนเองจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี” “จอมพล ป.พิบูลสงคราม” ในปี พ.ศ. 2485 ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพขึ้น เพื่อให้กรมประชาสงเคราะห์ ได้จัดตั้งนิคมสร้างตนเอง ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติดังกล่าวเมื่อปี พ.ศ. 2504 และครั้งสุดท้ายได้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 และ พ.ศ. 2504 โดยใช้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 มาจนถึงปัจจุบัน การจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในระยะแรก มีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อช่วยเหลือราษฎรยากจนที่ขาดแคลนที่ดินทำกิน และเพื่อแก้ไขปัญหาการอพยพเข้ามาหางานทำในเมืองจนเกิดปัญหาสังคมเมือง แต่หลังจากได้มีการรปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจซึ่งปรากฎรูปแบบชัดเจน เมื่อมีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับ ที่ 1 (พ.ศ.2504 – 2509) เป็นต้นมา การจัดนิคมสร้างตนเองได้ถูกนำมาใช้เป็นกลไกหรือเครื่องมือของรัฐในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ […]

อ่านต่อ

รู้หรือไม่? ทำไมคนไทยต้องพูดว่า “สวัสดี” คำทักทายธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า เหตุใดคนไทยจึงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการทักทายกันในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ในอดีต การทักทายกันในหมู่คนไทยมักใช้คำธรรมดาอย่าง “ไปไหนมา”, “กินข้าวหรือยัง” หรือ “อยู่ดีไหม” แล้วคำว่า “สวัสดี” มาจากไหน และเหตุใดจึงกลายเป็นคำทักทายหลักของชาติไทย? คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตคำว่า “สวสฺติ” (svasti) ซึ่งหมายถึง ความดี ความสุข ความเจริญ หรือความปลอดภัย การใช้คำนี้จึงเปรียบเสมือนการอวยพรให้ผู้ฟังประสบสิ่งดี ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นบทสนทนา โดยคำว่า “สวัสดี” ถูกบัญญัติขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 6 โดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งต้องการให้มีคำทักทายแบบสุภาพ เป็นทางการ และเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย เช่นเดียวกับคำว่า “Hello” ในภาษาอังกฤษ หรือ “Bonjour” ในภาษาฝรั่งเศส ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการ ส่งเสริมให้ประชาชนใช้คำว่า “สวัสดี” อย่างกว้างขวาง ผ่านการสื่อสารจากภาครัฐและการศึกษา จนกลายเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปทั้งในชีวิตประจำวันและในพิธีการทางการ นอกจากนั้น การใช้คำว่า “สวัสดี” ยังมักมาคู่กับการไหว้ […]

อ่านต่อ

“สงกรานต์ทำไมต้องมีแป้ง? เฉลยความลับ ‘ดินสอพอง’ ที่ไม่ได้มีดีแค่ขาวเย็น!”

เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ ภาพคุ้นตาที่เรามักเห็นเสมอคือผู้คนเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน พร้อมกับ “แป้งขาวๆ” ที่ป้ายหน้ากันอย่างเป็นมิตร นั่นคือ แป้งดินสอพอง ซึ่งหลายคนอาจเคยสงสัยว่า ทำไมต้องมีแป้งนี้ในการเล่นสงกรานต์? และ แป้งนี้คืออะไร มีที่มาอย่างไร? ดินสอพองคืออะไร? ดินสอพอง คือดินธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่ผ่านการแปรรูปโดยการเผาและล้างจนสะอาด ก่อนจะบดและปั้นเป็นก้อนหรือเม็ดเล็กๆ ละลายน้ำแล้วกลายเป็นแป้งสีขาวที่เราคุ้นเคย ดินนี้มีคุณสมบัติเย็น ผสมกับน้ำแล้วให้สัมผัสที่เย็นสบาย นิยมนำมาใช้ในพิธีกรรม พุทธศาสนา และงานประเพณีต่างๆ มาแต่โบราณ ทำไมแป้งดินสอพองถึงใช้ในสงกรานต์? ในอดีต การปะแป้งดินสอพองในเทศกาลสงกรานต์ เป็นการแสดงถึงความเคารพและความปรารถนาดี โดยเฉพาะในการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ จะใช้แป้งขาวผสมน้ำหอมลูบเบาๆ ที่ไหล่หรือหลัง เป็นการอวยพรและขอขมา แสดงถึงความบริสุทธิ์ สะอาด และเย็นใจ เมื่อเวลาผ่านไป การเล่นแป้งกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของการเล่นสงกรานต์ที่ให้ความสนุกสนาน ปลอดภัย และยังคงกลิ่นอายของประเพณีดั้งเดิมไว้ได้อย่างงดงาม ดินสอพองทำมาจากอะไร? ดินสอพองทำจาก ดินขาวธรรมชาติ ที่มีชื่อว่า ดินมาร์ล (Marl) หรือ ดินดานสีขาว ซึ่งมีแร่แคลเซียมคาร์บอเนตสูง โดยผ่านกระบวนการเผาเพื่อฆ่าเชื้อ ล้างให้สะอาด จากนั้นบดและปั้นขึ้นรูป ก่อนจะนำไปตากแห้ง ชื่อ “ดินสอพอง” มีที่มาและความหมายที่สะท้อนถึงลักษณะและกระบวนการผลิตของวัสดุนี้อย่างชัดเจน […]

อ่านต่อ

ตามรอยประวัติศาสตร์วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 จังหวัดตราด บทเรียนแห่งการรักษาอธิปไตย และการพัฒนาที่ยั่งยืน

วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 นับเป็นหนึ่งในบททดสอบความอยู่รอดที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อประเทศต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากมหาอำนาจตะวันตก ด้วยความที่สยามในขณะนั้น ยังขาดความพร้อมในหลายด้าน ทำให้เอกราชของชาติตกอยู่ในความเสี่ยง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทย ประเทศชาติจึงยังคงรักษาอธิปไตยไว้ได้ แม้ต้องยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นการแลกเปลี่ยนกับการได้จังหวัดจันทบุรีและตราด กลับคืนมา เป็นสัญลักษณ์แห่งความเพียรพยายามทางการทูตของบูรพกษัตริย์ไทยที่ปกป้องผืนแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานในยามที่ประเทศต้องเผชิญภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคม เพื่อสืบสานบทเรียนอันทรงคุณค่านี้ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จึงได้จัดโครงการ “ทิพยสืบสาน รักษาต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา” ครั้งที่ 50 นำคณะครูอาจารย์ และผู้สนใจ เดินทางสู่ดินแดนตะวันออก เพื่อตามรอยประวัติศาสตร์ เรื่องเขตแดนที่มักถูกลืมเลือนไปจากตำราเรียน พร้อมทั้งศึกษาวิถีชีวิตของชุมชนที่นำแนวพระราชดำริมาพลิกฟื้นความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดินและท้องทะเลแห่งตราด ด้วยความเชื่อที่ว่าความมั่นคงของชาติในองค์รวมมิใช่เพียงแค่การปกป้องดินแดน แต่ยังรวมถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปด้วย กิจกรรมในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการได้เดินทางไปยัง เกาะลิง บ้านบางปิดล่าง จังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาอธิปไตยของชาติไทย คณะผู้เข้าร่วมโครงการได้ศึกษาหมุดพรมแดนที่ฝรั่งเศสปักไว้ในช่วงวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามของประเทศมหาอำนาจในการแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมุดพรมแดนแห่งนี้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงการเจรจาและการดำเนินนโยบายทางการทูตอย่างชาญฉลาดของไทย ที่สามารถรักษาเอกราชและอธิปไตยเหนือดินแดนไว้ได้ในยุคล่าอาณานิคม วิทยากร ได้บรรยายถึงความสำคัญของพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นพรมแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส (ปัจจุบันคือประเทศกัมพูชา) ที่ถูกกำหนดขึ้นจาก “สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907” ลงวันที่ 23 มีนาคม […]

อ่านต่อ

มารู้จัก “โรคสมองเมาแผ่นดินไหว” อาการหลอน-เวียนหัว ที่หลายคนยังไม่รู้!

จากเพจ สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์ ได้โพสต์จ้อความระบุสาระสำคัญไว้ว่า มารู้จัก โรคสมองเมาแผ่นดินไหว (Earthquake Drunk)  หรือ  โรคสมองหลอนแผ่นดินไหว (Earth quake illusion) วันนี้ นั่งดีๆ ตัวโยก คิดว่าเป็นอัมพาตซะแล้ว มองไป เพื่อนๆ พากัน ตั้งสติ เฮ้ยใจสั่นเวียนหัว วิ่งหลบ แผ่นดินไหวจบ นอกจาก สิ่งก่อสร้างเสียหาย แต่ยังมีอาการตอบสนองต่อร่างกายยังไม่จบเป็นอาการต่อเนื่องด้วย  เอา จริงๆ  อจ ยัง รู้สึก หวั่นๆ โยกๆ อยู่นิดนึง กลุ่ม อาการเหล่านี้ ที่ญี่ปุ่นรู้ดีเพราะแผ่นดินไหวบ่อย ไทยเรา รู้ไว้ด้วยจะได้ สังเกตตัวเอง อาการอะไรบ้าง เกิดต่อร่างกาย จิตใจหลัง แผ่นดินไหว 1. สมองเมาแผ่นดินไหว (Earthquake Drunk) กลุ่มอาการวิงเวียนหลังแผ่นดินไหว หรือ Post-Earthquake Dizziness Syndrome หรือ […]

อ่านต่อ

“ล่ากะปอม” วิถีเด็กอีสาน ผูกพันธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่น

“เสียงแคน เสียงจิ้งหรีด กับค่ำคืนในชนบท” เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน ลมเย็นพัดผ่านทุ่งนา เสียงแคนแว่วมาแต่ไกล ปะปนกับเสียงจิ้งหรีดร้องระงมในค่ำคืนที่เงียบสงบ นี่คือบรรยากาศของชนบทอีสานที่หลายคนจดจำได้ดี และเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านเตรียมตัวออกล่ากะปอม อาหารพื้นบ้านที่กลายเป็นตำนานของคนอีสาน “ล่ากะปอม” วิถีชีวิตที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่เด็กจนโต คนอีสานเติบโตมากับธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน หนึ่งในนั้นคือการหากะปอม หรือที่หลายคนเรียกว่า “กิ้งก่าบ้าน” ที่ออกมาอาบแดดตามต้นไม้หรือโพรงดินในช่วงกลางวัน เมื่อถึงเวลาเย็น ชาวบ้านมักรวมตัวกันเป็นกลุ่ม พกไฟฉาย คนหนึ่งถือไม้ อีกคนเตรียมเชือกบ่วงสำหรับคล้องคอ เด็กชายตัวน้อยเดินตามหลังพ่อ แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ชายวัยกลางคนซึ่งชำนาญการจับกะปอมมาแต่เด็ก เล่าประสบการณ์ด้วยรอยยิ้ม “สมัยพ่อเป็นเด็ก บ่มีอะไรกินหลาย กะต้องหากะปอม ปิ้งจิ้มแจ่ว แซ่บคักเด้อ” เทคนิคจับกะปอม ภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ ชาวบ้านแต่ละคนมีวิธีจับกะปอมที่แตกต่างกัน บางคนใช้บ่วงเชือกคล้องคอ บางคนใช้ไม้ไผ่เคาะให้ตกจากต้นไม้ หรือใช้มือเปล่าจับแบบรวดเร็ว ในคืนที่ดวงจันทร์ส่องแสงจางๆ ไฟฉายส่องไปตามกิ่งไม้ใหญ่ เงาสะท้อนดวงตากะปอมทำให้หาง่ายขึ้น เสียงเด็กน้อยตื่นเต้นเมื่อเห็นกะปอมเกาะนิ่งอยู่บนต้นไม้สูง “พ่อ ๆ อยู่ทางนี้!” ชายวัยกลางคนใช้บ่วงเชือกคล้องอย่างแม่นยำ ดึงเบาๆ กะปอมดิ้นเล็กน้อยก่อนจะถูกจับอย่างระมัดระวัง จากล่ากะปอม สู่เมนูพื้นบ้านรสเด็ด เมื่อได้กะปอมมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรุงอาหาร สูตรเด็ดที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมักเป็นเมนูง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยความอร่อย […]

อ่านต่อ

“จับจั๊กจั่น” วิถีชาวบ้าน เปิดฤดูกาลล่าแมลงเสียงดัง! กับเคล็ดลับการจับแบบดั้งเดิม

การจับจั๊กจั่นเป็นวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมาของชาวบ้านในชนบทของไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นการหาอาหารพื้นบ้านแล้ว ยังเป็นรายได้เสริมในช่วงฤดูกาลเฉพาะอีกด้วย จั๊กจั่นเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตเฉพาะ โดยจะออกจากดินมาลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมของทุกปี วิธีการจับจั๊กจั่น ช่วงเวลาที่มีการจับจั๊กจั่นขึ้นอยู่กับวงจรชีวิตและฤดูกาลของจั๊กจั่น ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็นช่วงเวลาหลัก ๆ ดังนี้ 1. ฤดูที่เหมาะแก่การจับจั๊กจั่น ช่วงต้นฤดูฝน (พฤษภาคม – กรกฎาคม)เป็นช่วงที่ตัวอ่อนของจั๊กจั่นที่ฝังตัวอยู่ใต้ดินเริ่มขึ้นมาสู่พื้นดินเพื่อเตรียมเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย ชาวบ้านในบางพื้นที่ เช่น ภาคอีสานและภาคเหนือของไทย จะเริ่มจับจั๊กจั่นในช่วงนี้ เพราะจั๊กจั่นยังมีเนื้อนุ่มและมีรสชาติอร่อย ปลายฤดูฝน – ต้นฤดูหนาว (สิงหาคม – ตุลาคม)เป็นช่วงที่จั๊กจั่นโตเต็มวัยและเริ่มส่งเสียงร้องหาคู่ จั๊กจั่นในช่วงนี้จะมีปริมาณมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีต้นไม้เยอะ เช่น ป่าโปร่ง ทุ่งนา และสวนผลไม้ 2. ช่วงเวลาที่นิยมจับจั๊กจั่นในแต่ละวัน เทคนิคการจับจั๊กจั่น การจับจั๊กจั่นเป็นวิถีชีวิตของชาวชนบทที่สืบทอดกันมายาวนาน และยังเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูง เป็นอาหารพื้นบ้านที่หายากและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว! จั๊กจั่นเป็นแมลงที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และมีรสชาติคล้ายกุ้งหรือไก่ จึงสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายเมนู ทั้งแบบพื้นบ้านและแบบฟิวชัน โดยเมนูยอดนิยม ได้แก่ เมนูจั๊กจั่นแบบดั้งเดิม เมนูจั๊กจั่นแนวสร้างสรรค์ 5. จั๊กจั่นชุบแป้งทอด – คลุกจั๊กจั่นกับแป้งทอดกรอบ ทอดให้เหลืองกรอบ เสิร์ฟคู่กับซอสมายองเนสหรือซอสพริก 6. […]

อ่านต่อ