เป็น “เกย์เหมือนมะเร็งในใจ!”: วู้ดดี้ เปิดหมดเปลือก ชีวิตดังที่สุด-ทุกข์ที่สุด และวันที่พ่อแม่ยอมรับเพศสภาพ

วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรและครีเอเตอร์ชื่อดัง เปิดใจผ่านรายการ “Life Line” เผยเส้นทางชีวิต 0-50 ปี ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่หลายคนไม่เคยรู้ ตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กในต่างประเทศ ความฝันที่จะเป็นศิลปิน และการเผชิญหน้ากับความจริงเรื่องเพศสภาพ จนถึงวันที่ก้าวขึ้นเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการสื่อไทย

ชีวิตวัยเด็ก: ความสุขในต่างแดน สู่การปรับตัวในเมืองไทย

วู้ดดี้เล่าถึงช่วงวัยเด็กถึง 15 ปี ที่ภาพจำคือ ความสุขและความอบอุ่นของครอบครัว ในนิวยอร์ก ซึ่งคุณพ่อรับราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้ต้องย้ายไปหลายประเทศ รวมถึงการได้เรียนรู้จาก Bruce Willis และ Demi Moore ในค่ายยุวชน ณ วัย 10 กว่าขวบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบ่มเพาะความฝันที่จะเป็นศิลปินเหมือน “พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย”

อย่างไรก็ตาม ความฝันที่จะเล่นละครบรอดเวย์ต้องพังทลายลง เมื่อครอบครัวตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทย การต้องปรับตัวจากชีวิตต่างแดนสู่การใช้ชีวิตที่ บ้านนางเลิ้ง ทำให้วู้ดดี้ต้องเผชิญกับความรู้สึกช็อกและต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสร้าง “คุณค่า” ให้กับตัวเอง

“เกย์” เหมือน “มะเร็งในใจ” หายได้เมื่อครอบครัวยอมรับ

ประเด็นที่วู้ดดี้เปิดใจอย่างลึกซึ้งคือเรื่อง เพศสภาพ โดยเปรียบเทียบความรู้สึกของการเป็น LGBTQ ในช่วงเวลานั้นว่าเหมือน “มะเร็งก้อนหนึ่งในร่างกาย” ที่กังวลว่าพ่อแม่จะยอมรับได้หรือไม่ เพราะในยุคก่อนไม่มีช่องทางหรือไอดอลที่ให้กำลังใจเหมือนปัจจุบัน

วู้ดดี้ใช้เวลาถึงช่วงอายุ 21 ปีจึงตัดสินใจบอก คุณแม่ ซึ่งได้รับคำตอบที่ปลดล็อกว่า “แม่รู้อยู่แล้ว” สร้างความรู้สึกเบาสบายเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่สำหรับ คุณพ่อ ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง การยอมรับนั้นหนักหนากว่าเปรียบเหมือน “ยอดเขาเอเวอร์เรสต์” ต้องใช้เวลาอีกเกือบ 4 ปี กว่าที่คุณพ่อจะบอกว่า “ยูเป็นอะไร ไอรับได้ทุกอย่าง” ซึ่งเป็นวันที่ทำให้ความทุกข์ใจทั้งหมดมลายหายไป

จากอันดับ 1 สู่ความทุกข์ที่สุดในชีวิต

ในช่วง 29-30 ปี วู้ดดี้เริ่มต้นงานในฐานะครีเอเตอร์ด้วยไฟแรง และสร้างรายการดังที่ “ต้อง Real, ต้อง Rare, ต้องนั่งไขว่ห้าง, ต้องถามให้บาด” อย่างรายการ “เกิดมาคุย” ซึ่งนำพาเขาไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นพิธีกรที่มีเรตติ้งอันดับ 1 และเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการสื่อ

ทว่าการ “ดังที่สุดในประเทศ” กลับมาพร้อมกับ “ความทุกข์ที่สุดในชีวิต” เพราะเขาต้องเผชิญกับ ความเกลียดชัง และเสียงวิจารณ์ว่า “เก็ก เว่อร์” จากผู้ชมและคนในวงการ ซึ่งแม้จะอยากได้เรตติ้งแต่ก็ รับไม่ได้ที่คนไม่ชอบ ความรู้สึกที่ย้อนแย้งและอ่อนไหวนี้ นำไปสู่การตั้งคำถามถึงความหมายของรายการ นอกเหนือจากความสะใจและความบันเทิง

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่: ค้นหาความหมายและสร้าง S2O

วู้ดดี้ตัดสินใจก้าวออกจากวงจรเดิม ไป บวช และ ตกผลึกชีวิต เพื่อค้นหาว่า “เกิดมาทำไม?” ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ

ความมุ่งมั่นใหม่ได้เปลี่ยนมาเป็นการสร้างสรรค์งานระดับโลกอย่างเทศกาลดนตรี S2O Songkran Music Festival ซึ่งทุกคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ปัจจุบันจัดมาแล้ว 10 ปี ใน 7 ประเทศทั่วโลก โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 5 แสนคนต่อเมือง และเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นการท่องเที่ยว

บทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้ควบคู่กันมาคือการ ขึ้นโรงขึ้นศาล จากคดีหมิ่นประมาท ทำให้เขาตระหนักว่าในฐานะสื่อมวลชน ไม่ควรใช้พื้นที่ใด ๆ ในการ Discredit ผู้อื่น

ในวัย 40 ปี วู้ดดี้ใช้คาถา “This too shall pass” ท่องไว้กับทุกเรื่องราวในชีวิต เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ก้าวผ่านทุกความท้าทายต่อไป.

สั่งซื้อน้ำหอมทุกขนาด ได้ที่นี่

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *