‘Longevity Economy’ ระเบิดเวลาคู่โอกาสทอง: วิเคราะห์เชิงลึก ความท้าทายสู่การเป็น ‘Longevity Hub Thailand’

การมีอายุยืนยาว (Longevity) ไม่ได้เป็นเพียงความฝันทางวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น เมกะเทรนด์ ทางสังคมและเศรษฐกิจที่กำลังกำหนดทิศทางของโลก ท่ามกลางความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข ทำให้มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของคนทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นจาก 66.8 ปีในปี 2000 เป็น 73.1 ปี ในปี 2019 (อ้างอิง: WHO/ThaiQuest)

ประเทศไทยเองก็เดินหน้าเข้าสู่ สังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) อย่างเต็มตัว โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2576 สัดส่วนประชากรผู้สูงอายุจะพุ่งสูงเกิน 30% ของประชากรทั้งหมด (อ้างอิง: สสส.) การเปลี่ยนแปลงเชิงประชากรครั้งใหญ่นี้นำมาซึ่งแนวคิดทางเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “Longevity Economy” หรือเศรษฐกิจเพื่อคนอายุยืน ซึ่งหมายถึงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์และขับเคลื่อนด้วยกลุ่มคนที่มีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสข่าวดีเรื่องอายุยืนยาวนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “ระเบิดเวลา” ที่ซ่อนอยู่ นั่นคือ ความไม่สอดคล้องระหว่างอายุขัยเฉลี่ยและอายุขัยที่มีสุขภาพดี ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมกันคลี่คลาย

ส่วนที่ 1: วิเคราะห์เชิงสถิติ – ความจริงอันน่ากังวลของอายุยืนไทย

หัวใจสำคัญของเทรนด์ Longevity ไม่ใช่แค่การมีชีวิตที่ยืนยาว แต่ต้องมีคุณภาพที่ดี หรือที่เรียกว่า “Healthy Longevity”

ข้อมูลเชิงสถิติที่น่าตกใจของประเทศไทยคือ:

  • อายุขัยเฉลี่ย (Life Expectancy): คนไทยมีแนวโน้มอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
  • อายุขัยที่มีสุขภาพดี (Healthy Life Expectancy – HLE): ช่วงเวลาของการมีสุขภาพดีของคนไทยกลับสั้นกว่ามาก โดยรายงานระบุว่า คนไทยต้องใช้ชีวิตอยู่กับ โรคเรื้อรัง (Chronic Diseases) โดยเฉลี่ยประมาณ 10 ปี ในช่วงท้ายของชีวิต (อ้างอิง: กรุงเทพธุรกิจ/บทวิเคราะห์เปรียบเทียบกับ OECD ใน Journal of Social Sciences, CMU)

ตารางเปรียบเทียบ (โดยประมาณ):

การใช้ชีวิตกับโรคเรื้อรังที่ยาวนานนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเจ็บปวดให้กับตัวบุคคล แต่ยังเป็นภาระมหาศาลต่อ:

  1. งบประมาณสาธารณสุขของชาติ: ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
  2. โครงสร้างครอบครัวและสังคม: ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องการการดูแลระยะยาว (Long-Term Care) ซึ่งส่งผลกระทบต่อวัยแรงงานที่ต้องรับภาระการดูแล

ดังนั้น ความท้าทายของไทยจึงเปลี่ยนจาก “จะทำอย่างไรให้คนอายุยืน” เป็น “จะทำอย่างไรให้คนมีสุขภาพดีตลอดช่วงชีวิตที่ยืนยาว”

ส่วนที่ 2: Longevity Economy – โอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล

Longevity Economy ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาโรค แต่คือการลงทุนในทุกมิติที่ทำให้ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ซึ่งสร้างโอกาสทางธุรกิจใน 3 กลุ่มหลักที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว (อ้างอิง: Nation Thailand/Tisco Securities):

  1. บริการสุขภาพและเวลเนสเชิงป้องกัน (Preventive & Wellness Hubs):
    • โรงพยาบาลกำลังปรับตัวเป็น “Hospital-Hotels” หรือศูนย์เวลเนสครบวงจร ที่เน้นการดูแลเชิงป้องกัน การตรวจสุขภาพเชิงลึก (เช่น การตรวจยีน/Biomarkers) และบริการชะลอวัย (Anti-Aging)
    • ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง: กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่, ศูนย์ Wellness & Anti-Aging
  2. นวัตกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Nutraceuticals & Supplements):
    • ความต้องการอาหารฟังก์ชัน, อาหารจากพืช (Plant-based solutions) และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เน้นการชะลอความเสื่อมของเซลล์ (เช่น NMN, Resveratrol) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก
    • ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง: บริษัทอาหารและเครื่องดื่ม, ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  3. อสังหาริมทรัพย์เพื่อผู้สูงอายุ (Retirement Living & Senior Real Estate):
    • การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ (Age-Friendly Design) และมีบริการทางการแพทย์/พยาบาลรองรับตลอด 24 ชั่วโมง จะเป็นตลาดที่เติบโตสูงสุดในทศวรรษหน้า
    • ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง: บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นตลาดผู้สูงอายุ

การผลักดัน “Longevity Hub Thailand” (อ้างอิง: กรุงเทพธุรกิจ) จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของเศรษฐีทั่วโลกที่ต้องการดูแลสุขภาพระยะยาว ซึ่งจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้อย่างมหาศาล

ส่วนที่ 3: การรับมือของประเทศไทย – นโยบายที่ต้องเร่งปรับ

การรับมือกับเทรนด์ Longevity ในระดับประเทศต้องครอบคลุมมากกว่าแค่เรื่องสุขภาพและเศรษฐกิจ แต่ต้องรวมถึงการปรับโครงสร้างทางสังคมและนโยบายภาครัฐ:

  1. การปรับปรุงระบบสวัสดิการและการเกษียณอายุ:
    • มีแนวคิดเสนอให้มีการ พิจารณาขยายอายุเกษียณราชการเป็น 65 ปี (อ้างอิง: ข่าวจากทำเนียบรัฐบาล 3 ต.ค. 2568) เพื่อให้สอดคล้องกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นและลดภาระกองทุนบำเหน็จบำนาญ อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับ “สมรรถภาพทางสุขภาพ” ของบุคลากรแต่ละคน
  2. การลงทุนใน Preventive Health Care:
    • ต้องเปลี่ยนจากการเน้นการ “รักษาเมื่อป่วย” เป็นการ “ป้องกันก่อนป่วย” ผ่านการให้ความรู้ด้านสุขภาพ, โภชนาการ, การนอนหลับที่มีคุณภาพ (อ้างอิง: PPTVHD36/กรมอนามัย) และการตรวจสุขภาพเชิงลึก เพื่อค้นหาความเสี่ยงล่วงหน้า
  3. การสร้างสังคมที่เชื่อมโยงระหว่างวัย (Inter-Generational Linkage):
    • สสส. เน้นย้ำบทบาทของการสร้าง พื้นที่สุขภาวะดี 4 มิติ และการเชื่อมโยงคนทุกเจเนอเรชันเข้าด้วยกัน เพื่อลดช่องว่างและสร้างความยืดหยุ่นทางสังคมให้ผู้สูงอายุยังคงมีบทบาทอย่างมีคุณค่า (อ้างอิง: สสส.)

จาก ‘ทนอยู่’ สู่ ‘อยู่ทน’ อย่างมีคุณภาพ

Longevity เป็นทั้ง “ดาบสองคม” และ “โอกาสแห่งชาติ” สำหรับประเทศไทย หากรัฐบาลและภาคส่วนต่าง ๆ ไม่สามารถจัดการกับช่วงชีวิตที่ต้องอยู่กับความเจ็บป่วยที่ยาวนานได้ Longevity จะกลายเป็นระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจและสังคม แต่หากสามารถผลักดันการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและนวัตกรรม Longevity ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลกได้จริง ก็จะเป็นโอกาสทองในการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านจากสังคมที่ต้อง “ทนอยู่” อย่างเจ็บป่วย ไปสู่การ “อยู่ทน” อย่างมีคุณภาพ คือภารกิจที่เร่งด่วนที่สุดของประเทศไทยในทศวรรษนี้.

สั่งซื้อน้ำหอมทุกขนาด ได้ที่นี่

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *