“คนละครึ่งพลัส” ยุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี: หวยออกที่ผู้เสียภาษี?

วันที่ 7 ตุลาคม 2568 นี้ เป็นวาระสำคัญที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพิจารณาอนุมัติโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งถูกวางเป็นหนึ่งในมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อเร่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ด้วยกรอบวงเงินสูงถึง 4.4 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านคน มาตรการนี้ไม่ใช่แค่การต่อยอดจากโครงการเดิม แต่เป็นความพยายามในการประยุกต์ใช้เครื่องมือทางการคลังแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยเฉพาะการกำหนดเงื่อนไขที่เชื่อมโยงกับ “สถานะการยื่นภาษี” ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าจับตาและวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลกระทบในมิติต่าง ๆ

เจาะลึกกลไกและเป้าหมายของ “คนละครึ่งพลัส”

โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ยังคงหลักการ 50:50 หรือรัฐบาลร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งของยอดใช้จ่าย แต่จุดที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญคือการแบ่งกลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์ออกเป็นสองกลุ่มหลัก:

  1. กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2567: ได้รับวงเงินสนับสนุนสูงสุด 2,400 บาท ต่อคน
  2. กลุ่มประชาชนทั่วไป (ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี): ได้รับวงเงินสนับสนุนสูงสุด 2,000 บาท ต่อคน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ากลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับการเติมเงินเพิ่มเติมอีก 1,700 บาท (แหล่งอ้างอิง: Policy Watch – Thai PBS, วันที่ 1 ต.ค. 2568)

เป้าหมายหลักของรัฐบาลคือการ กระตุ้นการบริโภคในประเทศ ที่อยู่ในภาวะอ่อนแรงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปัญหา หนี้ครัวเรือน ที่อยู่ในระดับสูง และตัวเลข เงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ( −0.72% ในเดือน ก.ย. 2568) ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของอุปสงค์รวมภายในประเทศ (แหล่งอ้างอิง: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย) การอัดฉีดเม็ดเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ได้ประมาณ 0.07−0.08% ต่อปี (แหล่งอ้างอิง: Post Today) หรืออาจสูงถึง 0.2−0.4% เมื่อรวมกับมาตรการอื่น ๆ (แหล่งอ้างอิง: การเงินธนาคารผ่าน Line Today)

การวิเคราะห์เชิงนโยบาย: ทำไมถึงมุ่งเน้น “ผู้เสียภาษี”?

การให้สิทธิ์ประโยชน์ที่สูงกว่าแก่กลุ่มผู้เสียภาษี สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลพยายามดำเนินการไปพร้อมกัน 2 มิติ:

  1. ประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Efficiency): กลุ่มผู้เสียภาษีมักเป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง มีกำลังซื้อสะสมและมีโอกาสที่จะใช้จ่ายเงินที่ได้รับเพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็วและเต็มวงเงิน การมุ่งเน้นกลุ่มนี้จึงอาจสร้าง ตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ที่สูงกว่า เนื่องจากเป็นการกระตุ้นกลุ่มที่พร้อมจะนำเงินไปหมุนเวียนในระบบอย่างฉับพลัน
  2. ความชอบธรรมทางการเมืองและสังคม (Legitimacy): เป็นการส่งสัญญาณให้กลุ่มคนทำงานที่จ่ายภาษีได้รับผลตอบแทนในรูปของสวัสดิการกลับคืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ต้องการขยายฐานภาษี และให้ความสำคัญกับผู้ที่รับภาระทางการคลังของประเทศ

อย่างไรก็ตาม การเลือกมุ่งเน้นกลุ่มนี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการบางส่วน โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยมีข้อสังเกตต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในทำนองนี้ว่า อาจมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่มากนัก (น้อยกว่า 0.4% ของ GDP) และเงินอาจ ไหลออก บางส่วนผ่านการนำเข้าสินค้า (แหล่งอ้างอิง: Policy Watch – Thai PBS)

นอกจากนี้ มาตรการนี้ยังอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างตรงจุด เนื่องจากครัวเรือนฐานรากยังคงประสบปัญหา ความเป็นอยู่ที่แย่ลง สะท้อนจากดัชนี RMSI ที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี เนื่องมาจากปัจจัยด้านรายได้ที่ไม่แน่นอนและค่าครองชีพที่สูง (แหล่งอ้างอิง: ธนาคารแห่งประเทศไทย) การให้วงเงินที่แตกต่างกันอาจถูกมองว่าเป็นการเพิ่มความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสวัสดิการรัฐ แม้ว่ารัฐบาลจะมีการเติมเงินให้กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมเพื่อชดเชยก็ตาม

ความท้าทายและการนำไปปฏิบัติ

ความสำเร็จของ “คนละครึ่งพลัส” จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย:

  1. การลงทะเบียนและระบบ: ระบบการลงทะเบียนและการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมสรรพากรต้องมีความราบรื่นและเป็นธรรม โดยคาดว่าจะเริ่มให้ใช้จ่ายได้ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงธันวาคม 2568
  2. ความร่วมมือของร้านค้า: การขยายฐานร้านค้าเข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะการสนับสนุนร้านค้ารายย่อยให้สามารถใช้ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ผลกระทบระยะสั้น vs. ระยะยาว: มาตรการนี้เป็นเพียง “ยาโด๊ป” ในระยะสั้น ซึ่งไม่ได้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย เช่น ผลิตภาพ (Productivity) ที่ต่ำ และปัญหา หนี้ครัวเรือน การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนยังคงเป็น “โจทย์ใหญ่” ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขผ่านการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน (แหล่งอ้างอิง: efinanceThai)

“คนละครึ่งพลัส” เป็นการเดินหมากที่ชาญฉลาดในเชิงการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยพยายามผสมผสานหลักการของการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง (ผ่านบัตรสวัสดิการ) และการกระตุ้นการใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ (ผ่านกลุ่มผู้เสียภาษี) อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพโดยรวมอาจจะไม่ได้สูงจนถึงขั้นพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แต่จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการประคองกำลังซื้อและสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจให้มีความคึกคักขึ้นก่อนสิ้นปี.

สั่งสินค้าได้ที่นี่

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *