เงินเฟ้อติดลบเดือนที่ 6: สัญญาณ ‘เงินฝืด’ คุกคามเศรษฐกิจไทย…ทางออกที่ต้องเร่งลงมือ

วันที่ 6 ตุลาคม 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เมื่อสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกแถลงตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) หรือที่รู้จักกันในชื่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในเดือนกันยายน 2568 ที่ยังคงติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยตัวเลขที่ออกมาคือ ติดลบ 0.72% (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์) ซึ่งนำมาสู่การตัดสินใจปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อตลอดทั้งปี 2568 ลงเหลือ ร้อยละ 0.0 จากเดิมค่ากลางที่ร้อยละ 0.5 (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์) การติดลบอย่างต่อเนื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) อย่างเต็มตัว

วิเคราะห์สาเหตุการติดลบ: ไม่ใช่แค่ราคาน้ำมัน

การที่อัตราเงินเฟ้อติดลบ (หมายถึงราคาสินค้าโดยเฉลี่ยลดลง) มักถูกอธิบายเบื้องต้นจาก 3 ปัจจัยหลักในเดือนกันยายน 2568 นี้ (อ้างอิง: สนค.):

  1. ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง: จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับมาตรการลดราคาน้ำมันดีเซลของภาครัฐ
  2. มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ: เช่น การตรึงราคาค่าไฟฟ้าและน้ำประปาบางส่วน ซึ่งช่วยลดต้นทุนของผู้บริโภค
  3. ราคาผักและผลไม้สดลดลง: เนื่องจากผลผลิตในตลาดมีปริมาณมากและอากาศเอื้ออำนวย

อย่างไรก็ตาม การติดลบต่อเนื่องนานถึง 6 เดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดสินค้าที่ “ไม่รวมอาหารและพลังงาน” (Core Inflation) ที่ยังขยายตัวในระดับต่ำมาก (มีแนวโน้มต่ำกว่า 1.0% ในช่วงเวลาดังกล่าว) ชี้ให้เห็นว่าปัญหาอาจลึกกว่าปัจจัยชั่วคราวเหล่านี้ นั่นคือ อุปสงค์ภายในประเทศ (Domestic Demand) ที่ยังอ่อนแออย่างมีนัยสำคัญ แม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่าง ๆ แต่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายยังคงเปราะบาง

ความเสี่ยงของ ‘เงินฝืด’ ที่คุกคามเศรษฐกิจ

เมื่อผู้บริโภคคาดการณ์ว่าราคาสินค้าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะตัดสินใจชะลอการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อรอซื้อในราคาที่ถูกกว่าในอนาคต (Behavioral Economics) การชะลอการใช้จ่ายนี้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่:

  • ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีก ต้องลดราคาสินค้าลงเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งทำให้รายได้และกำไรลดลง
  • เมื่อกำไรลดลง ธุรกิจก็จะลดการลงทุน ชะลอการจ้างงาน หรือแม้กระทั่งลดเงินเดือน
  • การจ้างงานและรายได้ที่ลดลง จะยิ่งไปกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ลดลงไปอีก
  • วงจรนี้จะกลายเป็นวงจรเงินฝืด (Deflationary Spiral) ที่ยากจะหลุดพ้น และฉุดรั้งการเติบโตของ GDP อย่างรุนแรง

การที่กระทรวงพาณิชย์ปรับลดเป้าหมายเงินเฟ้อทั้งปีเหลือ 0.0% เป็นการยอมรับว่าแรงผลักดันเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอที่จะสร้างภาวะเงินเฟ้อในระดับที่เหมาะสม (เป้าหมายของ กนง. คือ 1-3%)

ทางออก: ผสานนโยบายการเงินและการคลัง

สถานการณ์นี้ต้องการการประสานงานนโยบายอย่างเร่งด่วนระหว่างรัฐบาล (นโยบายการคลัง) และธนาคารแห่งประเทศไทย (นโยบายการเงิน):

  1. นโยบายการคลังที่ตรงจุด (Fiscal Policy): รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นที่เน้นการสร้างรายได้และการจ้างงานอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การอัดฉีดแบบครั้งเดียวจบ ควรเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega Projects) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มการจ้างงานในระบบ พร้อมทั้งพิจารณามาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่มีกำลังซื้อต่ำให้สามารถประคองรายได้และค่าครองชีพได้
  2. นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (Monetary Policy): ด้วยเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่อง ทำให้แรงกดดันด้านการขึ้นดอกเบี้ยหมดไป และเพิ่มความเป็นไปได้ที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ในการประชุมครั้งถัดไป) เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน และกระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมและลงทุนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากปัญหาหลักคือความเชื่อมั่นและกำลังซื้อที่อ่อนแอ ไม่ใช่แค่ต้นทุนการกู้ยืม

ตัวเลขเงินเฟ้อติดลบ 0.72% ในเดือนกันยายน 2568 และการปรับลดเป้าหมายทั้งปีเป็น 0.0% เป็นมากกว่าแค่ตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่หลวง การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยการเข้าแทรกแซงอย่างเด็ดขาดและรอบด้าน ทั้งจากการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการการคลังที่ตรงจุด และการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจรอดพ้นจากกับดักของภาวะเงินฝืด ก่อนที่ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจะถูกทำลายไปมากกว่านี้.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *