ตลาดสุขภาพจิตไทยโตพุ่ง! แซงหน้าโลกเกือบ 2 เท่า แต่ “ช่องว่าง” ยังน่าห่วง: ทำไมคนไทยต้องเผชิญความไม่เท่าเทียมในการรักษา?

ในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดบริการสุขภาพจิตในประเทศไทย กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 2 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เปิดใจรับการรักษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบออนไลน์หรือแบบตัวต่อตัว

วิกฤตที่มองไม่เห็น: ตัวเลขสะท้อนปัญหาสุขภาพจิตของคนไทย

ข้อมูลล่าสุดจากปี 2566 ชี้ให้เห็นว่ามีผู้เข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตในระบบสาธารณสุขสูงถึง 2.9 ล้านคน โดยโรคซึมเศร้าและความวิตกกังวลเป็นกลุ่มโรคที่พบมากที่สุด และคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีคนไทยมากถึง 10–13 ล้านคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตในระดับต่างๆ แต่ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับการรักษาเลย

ปัจจัยที่ทำให้ความต้องการบริการสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นมาจากหลายสาเหตุ

  • ทัศนคติที่เปลี่ยนไป: คนรุ่นใหม่กล้าที่จะพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น และได้รับอิทธิพลจากสื่อสังคมออนไลน์, ซีรีส์, ภาพยนตร์ และอินฟลูเอนเซอร์ที่ช่วยลดการตีตราทางสังคม (stigma)
  • ความสะดวกสบายจากโลกออนไลน์: การปรึกษาจิตแพทย์และนักจิตวิทยาผ่านวิดีโอคอลหรือแอปพลิเคชันช่วยให้ผู้คนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น
  • แรงกดดันจากสังคม: ปัญหาเศรษฐกิจผันผวน, ค่าครองชีพสูง, และความไม่แน่นอนของงาน ทำให้คนส่วนใหญ่เผชิญกับความเครียดและภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น

สัญญาณเตือน: ปัญหาระบบสุขภาพจิตไทยที่รอการแก้ไข

แม้ความต้องการจะเพิ่มขึ้น แต่ระบบสุขภาพจิตไทยยังคงมีจุดอ่อนที่น่ากังวล:

  • บุคลากรไม่เพียงพอ: จำนวนจิตแพทย์และนักจิตวิทยาในไทยมีน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ทำให้ผู้ป่วยต้องเดินทางไกลเพื่อเข้ารับการรักษา
  • การเข้าถึงไม่เท่าเทียม: การรักษาออนไลน์ยังคงมีข้อจำกัดด้านสัญญาณอินเทอร์เน็ตและค่าใช้จ่าย ทำให้กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้ยาก
  • ขาดมาตรฐานบริการดิจิทัล: ยังไม่มีการกำกับดูแลที่ชัดเจนเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (data privacy) และมาตรฐานการรักษาสำหรับบริการ Tele-health

โอกาสสำหรับนวัตกรรมและนโยบายในอนาคต

การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดนี้เป็นโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจและภาครัฐในการพัฒนาบริการใหม่ๆ เช่น แอปพลิเคชันสุขภาพจิต, บริการปรึกษาออนไลน์แบบรายเดือน หรือโปรแกรมช่วยเหลือพนักงาน (EAP) ในองค์กร การผลักดันเชิงนโยบายจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อ:

  • เพิ่มบุคลากร: สนับสนุนการผลิตบุคลากรด้านจิตเวชและจูงใจให้ทำงานในพื้นที่ห่างไกล
  • กำหนดมาตรฐาน: สร้างกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับบริการสุขภาพจิตดิจิทัล
  • เพิ่มงบประมาณ: จัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพจิต และผลักดันให้แผนประกันสุขภาพครอบคลุมค่ารักษาด้านจิตเวชมากขึ้น

หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตด้านสุขภาพจิตให้เป็นโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนได้อย่างแท้จริง.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *