
เจาะลึกเบื้องหลังสงคราม! หรือเรากำลังตกหลุมกลยุทธ์ใครบางคนโดยไม่รู้ตัว?
สาเหตุที่ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “ไทย–กัมพูชา” ในปี 2568 รุนแรง และขยายวงกว้างยิ่งกว่าการปะทะเมื่อปี 2554 นั้น อาจอธิบายได้จากปัจจัยหลายประการ ที่เชื่อมโยงทั้งด้านการเมืองระหว่างประเทศ , ความเปลี่ยนแปลงภายในสองประเทศ , และบริบทโลกในปัจจุบัน โดยสามารถวิเคราะห์ได้อย่างเป็นกลาง ดังนี้
1.ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยน ความมั่นใจทางทหารของกัมพูชาเพิ่มขึ้น
ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา กัมพูชามีการเสริมกำลังทางทหารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการได้รับอาวุธหนัก และเทคโนโลยีจากจีน เช่น จรวด PHL-03, KS-1C และระบบป้องกันภัยทางอากาศ นั่นอาจทำให้กัมพูชา “กล้าท้าทาย” ประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ภายใต้ความมั่นใจว่าจะได้รับการหนุนหลัง หรือมีอำนาจต่อรองในเวทีโลกมากกว่าในอดีต

สมัยปี 2554 การปะทะยังคงจำกัดอยู่ในระดับท้องถิ่น-ยุทธวิธี แต่ปี 2568 เราเริ่มเห็นการโจมตีเป้าหมายพลเรือน และการใช้อาวุธพิสัยไกลในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นสัญญาณของการ “ยกระดับ” แนวคิดความขัดแย้ง
2.ช่องว่างทางการเมืองไทย – การทูตไม่แข็งแรง
ในหลายช่วงของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ฝ่ายการเมืองของไทยดูเหมือนจะส่งสัญญาณไม่ชัดเจนหรือไร้เอกภาพ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ลงพื้นที่ศูนย์พักพิงโดยไม่มีตำแหน่งทางการ แต่กลับสร้างความสับสนในมุมมองระหว่างประเทศ หรือแม้แต่การตอบสนองของรัฐบาลไทยที่บางจังหวะยัง “รับ-รุก” อย่างระมัดระวังเกินไป จนทำให้ฝั่งตรงข้ามเข้าใจว่าไทย “ลังเล” และอาจใช้ช่องว่างนี้เป็นโอกาสทางยุทธศาสตร์
ภาวะผู้นำที่ไม่เด็ดขาดในภาวะสงคราม คือสิ่งที่ลดความน่าเชื่อถือทางการทูตอย่างมาก และอาจทำให้กัมพูชาตัดสินใจขยายการโจมตีได้ง่ายขึ้น



3.ความพยายามของกัมพูชา ในการทดสอบอธิปไตยของไทย
การปะทะในปีนี้ เริ่มจากการที่กัมพูชา ยกทัพเข้าสู่เขตพิพาทและจุดยุทธศาสตร์ เช่น “ภูมะเขือ–เขาพระวิหาร–ช่องอานม้า” ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะพื้นที่ ที่เคยเป็นจุดขัดแย้งที่ศาลโลกเคยมีคำตัดสินก่อนหน้านี้ การรุกคืบในลักษณะนี้ อาจถูกมองว่าเป็นการ “ทดสอบขีดจำกัด” ของไทยว่าจะตอบโต้อย่างไร และมากน้อยแค่ไหน กลยุทธ์เชิงจิตวิทยาทางทหารเช่นนี้ มักเกิดในช่วงที่อีกฝ่ายดู “อ่อนแรง” หรือกำลังเปลี่ยนผ่านทางการเมือง

4.ผลกระทบจากสงครามข่าวสาร (Information War)
การสื่อสารในสงครามปี 2568 แตกต่างจากปี 2554 อย่างมาก เนื่องจากมี “สื่อโซเชียล” และ “แพลตฟอร์มไลฟ์สด” ที่สามารถเผยข้อมูลการเคลื่อนไหวของทหาร – พลเรือนแบบเรียลไทม์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีหรือชี้นำความเห็นสาธารณะ เช่น การไลฟ์สดตำแหน่งศูนย์พักพิง หรือการกล่าวคำสัมภาษณ์ที่กลายเป็นชนวนความขัดแย้ง สงครามวันนี้จึงไม่ได้มีแค่ “กระสุน” แต่มี “วาทกรรม” ที่อันตรายไม่แพ้กัน

5.เงื่อนไขที่ต่างจากปี 2554 จาก “บาดหมาง” สู่ “ศัตรู”
ปี 2554 ยังมีการเจรจาในกรอบความร่วมมือของอาเซียน มีบทบาทของอินโดนีเซียเป็นตัวกลาง และมีแรงกดดันจากโลกตะวันตกให้ยุติการสู้รบ แต่ในปี 2568 บรรยากาศโลกเปลี่ยนไป ความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจทำให้เวทีโลกเงียบเสียงลง ไม่มีใครมาควบคุม หรือยับยั้งความรุนแรงในภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง
- สรุปคือ สงคราม ไทย–กัมพูชา ปี 2568 รุนแรงกว่า ปี 2554 เพราะมีการเปลี่ยนแปลงใน 3 มิติหลัก ได้แก่
- 1.กัมพูชามั่นใจในศักยภาพทางทหารมากขึ้น
- 2.ผู้นำไทยส่งสัญญาณไม่ชัดเจนทางการเมือง
- 3.สงครามข่าวสาร ปลุกปั่นกระแสและสร้างความเข้าใจผิด
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึง “การทดสอบขีดจำกัด” ทั้งด้านยุทธศาสตร์ การเมือง และการทูต ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า ไทยจะรักษา “อธิปไตย” ได้อย่างมั่นคง หรือถูกลากเข้าสู่กับดักความรุนแรงที่ยากจะควบคุมในอนาคต

หากประเทศไทยต้องการยุติสงครามครั้งนี้ ให้ได้อย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี จำเป็นต้องมี 3 ปัจจัยควบคู่กัน
- การทูตเชิงรุก – เด็ดขาด
- การทหารที่พร้อม – แม่นยำ
- การสื่อสาร ที่สร้างเอกภาพภายใน
อ่านข่าวอื่น ๆ :