ในโลกที่หมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ประเทศที่ไม่สามารถรับมือกับปัญหาทุจริตในภาครัฐได้ ย่อมเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ใช่เพียงในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาของประชาคมโลก
ล่าสุด รายงานดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index – CPI) ปี 2024 จากองค์กร Transparency International ได้ส่งสัญญาณเตือนแรงถึงสถานการณ์ของประเทศไทยที่กำลังถอยหลังในด้านความโปร่งใสของภาครัฐ
ประเทศไทยในปีนี้ ได้รับคะแนนเพียง 36 จาก 100 คะแนน รั้งอันดับที่ 101 จาก 180 ประเทศ สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และเป็นการส่งสัญญาณว่าระบบการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดินของไทยยังไม่สามารถสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชนและสังคมโลกได้อย่างเพียงพอ
ประเทศที่โปร่งใสมากที่สุดในโลก
ในอีกฟากหนึ่งของตารางคะแนน มีประเทศที่สามารถรักษาความโปร่งใสได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่
- เดนมาร์ก (90 คะแนน)
- ฟินแลนด์ (88 คะแนน)
- สิงคโปร์ (84 คะแนน)
- นิวซีแลนด์ (83 คะแนน)
- นอร์เวย์, ลักเซมเบิร์ก, และ สวิตเซอร์แลนด์ (81 คะแนน)
ประเทศเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างเด่นชัดคือ ระบบนิติรัฐที่แข็งแกร่ง เสรีภาพของสื่อมวลชน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และกลไกตรวจสอบภาครัฐที่ทำงานได้จริง
ประเทศที่มีปัญหาทุจริตหนักที่สุด
ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่มีคะแนนต่ำสุด ได้แก่
- เซาท์ซูดาน (8 คะแนน)
- โซมาเลีย (9 คะแนน)
- เวเนซุเอลา (10 คะแนน)
- ซีเรีย (13 คะแนน)
- เยเมน (16 คะแนน)
ปัจจัยร่วมของประเทศเหล่านี้คือ ความขัดแย้งภายใน ความไม่มั่นคงทางการเมือง และการขาดสถาบันตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้การทุจริตแพร่หลายและไม่สามารถควบคุมได้
ดร.พิพัฒน์ เตือน ไทยอาจกลายเป็น “ประเทศล้มเหลว”

นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของไทย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย จากกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้ออกมาเตือนอย่างตรงไปตรงมาผ่านโซเชียลมีเดีย ว่าหากประเทศไทยยังไม่เร่งปฏิรูป “นิติรัฐ” ปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และสร้างประชาธิปไตยที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม ประเทศไทยอาจกลายเป็น “กรณีศึกษา” ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ Why Nations Fail ซึ่งอธิบายถึงสาเหตุที่บางประเทศล้มเหลว ขณะที่บางประเทศประสบความสำเร็จ
ดร.พิพัฒน์ ชี้ให้เห็นว่า ความร่ำรวยหรือยากจนของประเทศ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพยากร วัฒนธรรม หรือความขยันของประชาชน แต่อยู่ที่ “โครงสร้างสถาบัน” โดยเฉพาะสถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจ หากสถาบันเหล่านี้ไม่เปิดกว้าง (inclusive) แต่กลับจำกัดอำนาจอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (extractive) ประเทศนั้นย่อมถดถอย
“ทางแยกที่ประเทศไทยต้องเลือก”
คะแนน CPI ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือตัวชี้วัดทิศทางของประเทศ หากยังเพิกเฉยต่อการปฏิรูปสถาบัน ปล่อยให้คอร์รัปชันฝังรากลึก ความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติจะยิ่งลดต่ำลง และในที่สุด อนาคตของประเทศอาจไม่ใช่แค่การล้าหลัง แต่คือการกลายเป็น “รัฐล้มเหลว” อย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มที่เจตจำนงทางการเมือง การให้ประชาชนมีบทบาทตรวจสอบ และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เพราะในโลกยุคใหม่นี้ ความโปร่งใสไม่ใช่แค่คุณธรรม แต่เป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้แก่ประเทศ