“งานศพอีสาน” เมื่อความเศร้ากลายเป็นภาระ — ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยน?

ภาพประกอบ สร้างขึ้นจาก AI

ในภาคอีสานของประเทศไทย งานศพไม่ได้เป็นเพียงแค่พิธีส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับสู่สุขติ แต่ยังเป็นงานใหญ่ของชุมชน เป็นจารีตที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น เต็มไปด้วยความศรัทธา ความรัก และความผูกพัน แต่ในอีกมุมหนึ่ง งานศพกลับกลายเป็น “ภาระ” ทางการเงินที่หลายครอบครัวต้องแบกรับอย่างหนัก บางครั้งก็หนักเกินความจำเป็น

วัฒนธรรมงานศพในภาคอีสาน พิธีกรรมและความศรัทธา พิธีงานศพของชาวอีสานมักจัดอย่างละเอียดและครบถ้วน เริ่มตั้งแต่การตั้งศพบำเพ็ญกุศลหลายคืน มีการนิมนต์พระสวดอภิธรรม เลี้ยงแขกจำนวนมาก จัดดอกไม้ เครื่องเสียง และอาหาร บางทีก็มีมหรสพพื้นบ้านอย่างหมอลำ ลิเก หรือดนตรีพื้นเมืองเพื่อ “ส่งดวงวิญญาณให้ไม่เหงา”

วัฒนธรรมนี้ สะท้อนถึงการให้เกียรติผู้ล่วงลับและความสามัคคีของชุมชน ซึ่งมีรากลึกในความเชื่อแบบพุทธผสมผสานกับผีพื้นบ้านอีสาน

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย งานศพหนึ่งงาน อาจสูงถึงหลักแสน แม้จะขึ้นอยู่กับขนาดของงานและความสามารถของเจ้าภาพ แต่โดยเฉลี่ยแล้วงานศพในภาคอีสานอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 50,000 – 150,000 บาท หรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะหากมีการจัดงานหลายวันหรือจ้างวงดนตรีเต็มรูปแบบ

จากการสำรวจของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ปี 2563) พบว่า ในบางจังหวัดของภาคอีสาน เช่น มหาสารคาม ขอนแก่น และอุบลราชธานี ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในงานศพสูงถึง 80,000 บาท ซึ่งถือว่าสูง เมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในพื้นที่

กรณีศึกษาจากพื้นที่จริง

1. งานศพในเทศบาลตำบลโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม งานวิจัยของ นันทิยา ภูมีศรี จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม พบว่า การจัดงานศพในพื้นที่นี้มีการเปลี่ยนแปลงจากการจัดที่บ้านไปสู่การจัดที่วัด เนื่องจากความสะดวกสบายและการลดมลพิษจากการเผาศพ อย่างไรก็ตาม การจัดงานศพยังคงมีลักษณะของ “มรณาพาณิชย์” โดยมีการจัดดอกไม้หน้าศพ การจัดเลี้ยงอาหาร และการทำโลงศพที่หรูหรา เพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าภาพให้ได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว และหรูหรา

2. กรณีของคุณหนิง ค่าใช้จ่ายกว่า 3 แสนบาท คุณหนิง แชร์ประสบการณ์จัดงานศพคุณยายในภาคอีสาน โดยมีค่าใช้จ่ายรวมกว่า 311,651 บาท สำหรับงานศพที่จัด 5 วัน 4 คืน ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ได้แก่ ค่ากับข้าว 70,000 บาท ค่าซองพระ 50,000 บาท ค่าหมู 60,890 บาท และค่าโลงเย็น 21,500 บาท โดยมีรายรับจากเงินฌาปนกิจและเงินสมาคม ธกส. รวม 440,090 บาท

3. กรณีของนางสาวอำพร โพธิ์ชา จังหวัดขอนแก่น นางสาวอำพร ฐานะยากจน ไม่มีเงินจัดงานศพให้ลูกชายที่ผูกคอตายจากความเครียดในช่วงโควิด-19 ชาวบ้านและผู้มีจิตศรัทธาในพื้นที่ได้ช่วยกันบริจาคเงิน ข้าวสาร และสิ่งของจำเป็น เพื่อให้สามารถจัดงานศพได้ตามประเพณี

ควรเปลี่ยนหรือไม่? เมื่อวัฒนธรรมเริ่มเป็นภาระ คำถามสำคัญคือ “เราควรเปลี่ยนวัฒนธรรมนี้ไหม?” คำตอบอาจไม่ใช่ “เปลี่ยน” โดยสิ้นเชิง แต่ควรเป็น “ปรับ” ให้เหมาะสมกับยุคสมัย ลดความฟุ่มเฟือย เปลี่ยนจากงานใหญ่หลายคืน เหลือเพียงวันหรือสองวัน เพื่อให้ครอบครัวไม่ต้องแบกภาระเกินกำลัง เน้นจิตวิญญาณมากกว่ารูปแบบ โฟกัสที่การทำบุญ การสวดพระอภิธรรมอย่างเรียบง่าย ส่งเสริมแนวคิดงานศพยั่งยืน ใช้วัสดุรีไซเคิล ลดการใช้พลาสติก และลดของกินทิ้งขว้าง รณรงค์ให้คนอีสานวางแผนล่วงหน้า การทำประกันชีวิตหรือสะสมเงินสำหรับงานศพของตัวเองยังเป็นเรื่องใหม่ แต่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น

สรุป : วัฒนธรรมควรเคารพ แต่ควรอยู่บนพื้นฐานความจริง งานศพเป็นสิ่งที่ควรให้เกียรติผู้ตายและปลอบใจผู้เป็น แต่หากการแสดงความเคารพนั้นต้องแลกมาด้วยหนี้สินและความทุกข์ของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เราอาจต้องทบทวนเสียใหม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว… การส่งใครสักคนไปสู่ภพหน้าอย่างสงบ ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยเงินจำนวนมหาศาล หากหัวใจของเรายังเต็มไปด้วยความรักและความเคารพ.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *