คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยาเสพติด เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ผู้ที่เสพยาเสพติด ก็เป็นอันตรายต่อร่างกายสุขภาพ และอาจเป็นภัยต่อสังคมเมื่อการเสพยานั้น มากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ยังมีผู้ที่ใช้สารเสพติด เพื่อประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัว ยังคงมีอยู่ในสังคมจริง
ถึงแม้จะไม่มีรายงานตัวเลข หรือผลวิจัยอย่างเป็นทางการ ว่าผู้ที่มีความจำเป็นในการใช้สารเสพติดเพื่อการประกอบอาชีพในประเทศไทย มีจำนวนมากน้อยเท่าใด เพราะยาเสพติดถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศไทยอยู่ แต่มีผลสำรวจของเอแบคโพลล์ เมื่อปี 2555 พบว่ามีผู้เคยใช้ยาบ้าตลอดประสบการณ์ชีวิตประมาณ 3.7 ล้านคน เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่ากลุ่มรับจ้างใช้แรงงานทั่วไป เกษตรกร ก่อสร้าง คนขับรถ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีจำนวนกว่า 1.2 ล้านคน ที่เคยใช้ยาบ้า รองลงมาคือกลุ่มคนว่างงานประมาณ 7.9 แสนคน และกลุ่มข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ และลูกจ้างหน่วยงานรัฐประมาณ 4.8 แสนคน (อ้างอิง)
และจากรายงานการสังเคราะห์สถานการณ์ยาเสพติดในประเทศไทย ปี 2567 เผยแพร่โดย ป.ป.ส.จากระบบติดตามและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดกลุ่มผู้เสพและผู้ติดที่เข้ารับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศในปี พ.ศ.2566 มีจำนวนกว่า 170,000 คน การเข้าสู่ระบบบำบัดรักษาโดยสมัครใจมีสัดส่วน สูงเป็นร้อยละ 56.3 ระบบบังคับบำบัดร้อยละ 31.8 และระบบต้องโทษร้อยละ 11.9 สำหรับกลุ่มผู้เสพรายใหม่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น เป็นร้อยละ 85 จากเดิมเมื่อ10 ปีที่ผานมา ที่มีอยู่ประมาณ 4 ใน 5 (อ้างอิง)
ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าการใช้สารเสพติด ยังมีอยู่ในกลุ่มที่ประกอบอาชีพเป็นส่วนส่วนที่มากกกว่าคนว่างงาน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้อ้างถึงการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในวาระพิเศษว่าด้วยสารเสพติดปี 2016 (United Nations General Assembly Special Session on Drugs-UNGASS) ได้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์มาตรการแนวทางต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ดำเนินการมากว่า 50 ปี ที่ประชุมมีข้อสรุปเปลี่ยนแนวคิดจากการทำให้ยาเสพติดหมดไปจากโลก (Drug free world) มาเป็นสังคมที่ปราศจากผลกระทบจากยาเสพติด (A society free of drug abuse) ยอมรับการมีอยู่ของยาเสพติดในสังคม และมีข้อเสนอต่อมาตรการการแก้ไขปัญหายาเสพติดในส่วนของผู้เสพโดยถือว่าเป็นผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ว่า การนำแนวคิดสิทธิมนุษยชน มาตรการด้านสาธารณสุขและมาตรการทางสังคม รวมทั้งมาตรการการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด (Harm Reduction) มาใช้แทนมาตรการทางกฎหมายหรือการลงโทษทางอาญา จะเกิดประสิทธิภาพมากกว่า ส่วนผู้ผลิตและผู้ค้ารายใหญ่ยังคงต้องใช้มาตรการทางกฎหมายในการจับกุมและลงโทษอย่างจริงจังต่อไป กสม. ขอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมาตรการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด (Harm Reduction) มาใช้ในการแก้ปัญหาในส่วนของผู้เสพอย่างจริงจัง โดยสนับสนุนให้ชุมชนและภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมดำเนินการ ยึดหลักการผู้เสพคือผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร สนับสนุนให้ชุมชนพัฒนานวัตกรรมการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด เพื่อคืนคนเหล่านี้ให้ชุมชนและสังคมต่อไป (อ้างอิง)

ปัจจบุัน มีหน่วยงานภาคประชาสังคม ได้ออกมาพูดสนับสนุนให้ไทย เปลี่ยนมาตรการและแนวคิดในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศด้วยการเน้นการบำบัดฟื้นฟูมากกว่าการปราบปรามจับกุมกันมากขึ้น อาทิ
นพ.ภาสกร ชัยวานิชศิริ ประธานที่ปรึกษา สบยช. ที่บรรยายไว้เมื่อ 7 พ.ค.567 บนเวทีสัมมนา ‘วันลดอันตรายสากล : International Harm reduction Day’ ที่จัดโดย สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) ว่า การลดอันตรายจากการใช้ยา หลายประเทศได้นำไปต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่มาดูแลสุขภาพผ่านการวิจัยที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเป็นแนวทางที่ได้ผล ซึ่งเป็นมาตรการทางด้านสาธารณสุข ที่ยึดเอาสุขภาพของผู้เสพเป็นหลัก อย่างเช่นที่ยุโรป มีหลายประเทศให้บริการรักษาแบบให้เลิกเสพติด กับการรักษาแบบควบคุมตนเองได้ หรือแม้แต่เสพยาได้ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในบางแห่งยังมีนโยบายแจกเข็มฉีดยาที่สะอาด สำหรับผู้เสพสารเสพติดชนิดฉีด
มากไปกว่านั้น หากมีบริการสุขภาพที่ช่วยลดอันตรายจากการใช้ยา ที่เป็นสิทธิประโยชน์พื้นฐาน จะเป็นการเปิดประตูทางเลือกสำหรับผู้เสพ และเป็นการช่วยชีวิตพวกเขาไปด้วย เพราะผู้เสพก็มีช่องทางในการเลือกความปลอดภัยทางสุขภาพให้กับตัวเอง ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการรักษาผู้เสพยา ที่ทำให้เลิกขาดอาจไม่ได้ผลอีกต่อไป แต่การลดอันตราย จะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เป็นแนวทางกระบวนการบำบัดที่ได้ผลมากกว่า รวมไปถึงมันสร้างแรงจูงใจให้ผู้เสพเลิกยาได้ดีกว่าการรักษาเชิงบังคับให้หายขาดอย่างเดียว
“หลายคนอาจมองว่าขัดต่อกฎหมาย เพราะในอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนจะมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 หรือกฎหมายยาเสพติดฉบับปัจจุบัน สังคมมักจะมองว่า ผู้ใช้ยาเสพติด ควรถูกรักษาให้หายเพื่อไม่ให้กลับไปเสพซ้ำ ซึ่งจะเห็นความแตกต่างกันทันทีของแนวทางการลดอันตรายจากการใช้ยา”

นายณัฐพล วีระพัฒนวงศ์ ผู้จัดการโครงการกลุ่มส่งเสริมการเข้าถึงการสนับสนุนด้านสุขภาพและสังคม (APASS) หรือกลุ่ม เอ-พาส เล่าประสบการณ์ตรงว่า เมื่อได้ทำงานและสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ใช้ยาเสพติด ก็พบว่าไม่ได้มีความน่ากลัว แต่อาจจะมีแค่บางช่วงที่อาจมีอาการมึนเมาตกค้าง ซึ่งมองว่าไม่ต่างอะไรกับการเมาเหล้า แต่ผู้เสพถูกเหมารวมจากสังคมว่า การใช้ยาคือคนบ้า หรือเป็นผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งอันตรายกว่าการใช้ยา ก็คือการถูกตีตราจากสังคม
การเข้าถึงบริการลดอันตรายจากการใช้ยาของภาครัฐ ภาคประชาชนมองว่ายังเข้าถึงได้ยาก บางแห่งไม่จ่ายสารเมทาโดนให้เพราะไม่มี ไม่ครอบคลุม ทำให้ผู้เสพที่ต้องการได้ยาต้องเดินทางไปหน่วยบริการที่ให้บริการได้ ด้วยความลำบากของการเข้าถึงบริการ ทำให้คนที่ต้องการบำบัดด้วยรูปแบบนี้ล้มเลิกความตั้งใจบำบัดไปเลยก็มี สิ่งที่ณัฐพล อยากเห็นให้เกิดขึ้นหากเป็นไปได้ คือ บริการการลดอันตรายจากการใช้ยา ควรมีบริการอยู่ในทุก รพ.สต. ให้เหมือนกับการให้ยาเบาหวาน หรือความดัน เพราะเราต้องยอมรับว่า ผู้เสพมีอยู่ทุกที่ และไม่มีวันหมดไป ปราบเท่าไหร่ก็ยังวนเวียนอยู่ในชุมชน
“ท้ายที่สุด ผู้เสพก็ต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดอยู่ดี ส่วนตัวผมมองว่า การลดอันตรายจากการใช้ยา โดยมีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม อาจจะเป็น รพ.สต.ที่ใกล้ชิดก็ได้ จะเป็นการดูแลคนในชุมชนให้มีสุขภาพดี ผู้เสพใช้ยาตามปกติแต่อยู่บนเกณฑ์ที่ปลอดภัย อยู่กับครอบครัวได้ ไม่ส่งผลกระทบ ซึ่งเป็นภาพที่ภาคประชาชนอยากเห็น และคาดหวังว่าทุกภาคส่วนจะช่วยยกันทำให้ภาพนี้ได้เกิดขึ้นจริง” ณัฐพล กล่าว

ถึงแม้รัฐบาลไทย จะพยายามมีแนวคิดการแก้ไขปัญหายาเสพติด ที่เน้นการบำบัดฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติดมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติยังทำไม่ได้ผล เพราะยังมีอุปสรรคด้านงบประมาณ บุคคลากร ที่จะทำให้ศูน์บำบัดของรัฐมีคุณภาพและปรับเปลี่ยนวิธีการบำบัด ยังคงเน้นการบังคับให้เลิกการเสพมากกว่าจะเน้นมาตรการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด
ผู้ที่เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติด ตามรายงานของ ป.ป.ส.ปี 2567 พบว่ามีทั้งหมด 171,183 คน เกินเป้าหมายของ ป.ป.ส.ที่ตั้งเป้าเอาไว้ที่ 91,317 คน ซึ่งมีตัวเลขผู้บำบัด จากสองกรณีเพิ่มมากขึ้น คือ จากกรณี ศาลตัดสินวิธีการอื่น/คุมความประพฤติแทนการลงโทษ (ม.166) และ กรณีส่งบำบัดตามคำาสั่งศาล (ม.168) จากปี 2566 เข้ารับการบำบัดจากสถานพยายามยาเสพติด 1,079 แห่ง จากสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 134 แห่ง แต่ไม่มีการเข้ารับการบำบัดจากชุมชน ตามที่รัฐบาลจะผลักดันให้ท้องถิ่น หรือ รพ.สต.มีบทบาทด้านการบำบัดมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ระดับการคัดกรองเท่านั้น

เมื่อแนวคิดทัศนคติของหน่วยระดับนโยบายไม่เปลี่ยนแปลง
จากรายงานของ ป.ป.ส.เรายังไม่เห็นแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้านมาตรการบำบัดรักษาที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะมาตรการการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดของรัฐบาลยังไม่มีการระบุที่ชัดเจนแต่อย่างใด
การแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศไทยโดยเน้นแนวทาง “การลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด” (Harm Reduction) ยังคงเผชิญกับอุปสรรคและปัญหาหลายด้าน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การดำเนินนโยบายนี้ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร หรือไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางหลักอย่างเต็มที่
1. อุปสรรคด้านนโยบายและกฎหมาย
1.1 กฎหมายยาเสพติดที่เน้นการลงโทษมากกว่าการบำบัด นโยบายยาเสพติดของไทยยังคงยึดหลัก “War on Drugs” หรือสงครามยาเสพติด ซึ่งเน้นการลงโทษทางอาญา เช่น การจำคุก และการปราบปราม มากกว่าการให้ความช่วยเหลือทางสาธารณสุขแก่ผู้ใช้ยา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษของไทยยังคงกำหนดให้การครอบครองยาเสพติดผิดกฎหมาย แม้ว่าปัจจุบันจะมีการปรับแก้กฎหมายให้มีการบำบัดแทนการลงโทษ แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ใช้ยาจำนวนมากยังถูกดำเนินคดีอาญา
1.2 การต่อต้านแนวทางลดอันตรายในเชิงนโยบาย หน่วยงานรัฐหลายแห่งมองว่า แนวทางลดอันตรายเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ยาเสพติด เช่น โครงการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยา หรือการให้ยาบำบัดเช่น เมทาโดน (Methadone) ถูกมองว่าเป็นการทำให้คนใช้ยาเสพติดต่อไปแทนที่จะเลิก นโยบายของรัฐยังเน้นการ “ปราบปราม” มากกว่าการ “ป้องกันและบำบัด” ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของการลดอันตราย
1.3 ขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน การแก้ปัญหายาเสพติดต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่แต่ละหน่วยงานมีแนวทางที่แตกต่างกัน ทำให้การดำเนินงานขาดความสอดคล้อง
2. อุปสรรคด้านสังคมและวัฒนธรรม
2.1 ทัศนคติและตราบาปต่อผู้ใช้ยาเสพติด สังคมไทยยังมองผู้ใช้ยาเสพติดเป็น “อาชญากร” มากกว่าผู้ป่วย ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติและการกีดกันทางสังคม ส่งผลให้ผู้ใช้ยาหลีกเลี่ยงการเข้าถึงบริการสุขภาพ ผู้ใช้ยาที่พยายามเข้ารับบริการมักถูกตีตรา ทำให้พวกเขาไม่กล้าขอความช่วยเหลือ หรือเข้าถึงการรักษา
2.2 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวทางลดอันตราย ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนยังมีความเข้าใจผิดว่า แนวทางลดอันตรายเป็นการสนับสนุนให้ใช้ยาเสพติด เช่น การแจกเข็มฉีดยาสะอาดถูกมองว่าเป็นการสนับสนุนให้คนใช้ยาเสพติดมากขึ้น ทั้งที่หลักฐานจากหลายประเทศชี้ว่าแนวทางนี้ช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ เช่น เอชไอวี และไวรัสตับอักเสบซี
3. อุปสรรคด้านงบประมาณและทรัพยากร
3.1 ขาดงบประมาณสำหรับโครงการลดอันตราย งบประมาณของรัฐบาลยังคงมุ่งเน้นไปที่การปราบปรามยาเสพติด มากกว่าการป้องกันและบำบัด ทำให้โครงการด้านลดอันตรายไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ
ตัวอย่างเช่น โครงการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยาและการให้บริการเมทาโดนมีจำนวนน้อยและไม่สามารถให้บริการได้ครอบคลุมทุกพื้นที่
3.2 ขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางลดอันตราย ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีจำนวนนักสังคมสงเคราะห์และที่ปรึกษาด้านยาเสพติดไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ใช้ยาหลายคนไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
4. อุปสรรคด้านการบังคับใช้กฎหมาย
4.1 การใช้กฎหมายโดยไม่แยกแยะระหว่างผู้เสพและผู้ค้า เจ้าหน้าที่ตำรวจมักใช้กฎหมายลงโทษผู้ใช้ยาในลักษณะเดียวกับผู้ค้ายา ทำให้เกิดการดำเนินคดีต่อผู้ใช้ยาเสพติดแทนที่จะส่งพวกเขาเข้าสู่กระบวนการบำบัด การตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดในบางกรณีอาจนำไปสู่การจับกุมและการลงโทษผู้ใช้ยามากกว่าการส่งเสริมการเข้ารับการบำบัด
4.2 การปราบปรามที่รุนแรงและการละเมิดสิทธิ ในอดีตเคยมีกรณีที่เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงและการวิสามัญฆาตกรรมในการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ใช้ยาและทำให้พวกเขาหลบซ่อนแทนที่จะเข้ารับการบำบัด
มีรายงานการคอร์รัปชันในกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การรีดไถหรือการสมรู้ร่วมคิดกับผู้ค้ายา ซึ่งทำให้การปราบปรามไม่ได้ผลจริง แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ปรับปรุงกฎหมาย ให้แยกแยะผู้เสพออกจากผู้ค้า และเน้นการบำบัดมากกว่าการลงโทษ เปลี่ยนแนวทางนโยบายยาเสพติด จากการปราบปรามเป็นการเน้นสาธารณสุข และให้แนวทางลดอันตรายเป็นทางเลือกหลักให้การศึกษาแก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน เพื่อเปลี่ยนทัศนคติที่ตีตราผู้ใช้ยา และสนับสนุนแนวทางลดอันตราย เพิ่มงบประมาณและทรัพยากร สำหรับโครงการลดอันตราย เช่น ศูนย์บำบัดโดยสมัครใจ การแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยา และการบำบัดด้วยเมทาโดน
ส่งเสริมการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้นำในการกำหนดนโยบายยาเสพติดมากกว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
สรุป แม้ว่าแนวทาง ลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด จะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นแนวทางที่ได้ผลในหลายประเทศ แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับอุปสรรคทั้งด้านกฎหมาย นโยบาย วัฒนธรรม งบประมาณ และการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้การนำแนวทางนี้มาใช้ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด หากประเทศไทยสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องกับหลักการลดอันตรายมากขึ้น ก็อาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพและสังคมจากปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืน.
อ่านบทความอื่น ๆ :
- เมื่อผู้เสพยาเสพติด ยังถูกบีบให้เป็นนักโทษ โดย : สมปรารถนา หุงขุนทด
- ทำไม? ไทยครองแชมป์อาเซียน! ใช้กฎหมายปิดปากนักสิทธิฯ เกือบ 600 คดี – เสรีภาพหรือความกลัว?
- “ด่วน! ไทยถูกลดระดับเป็น ‘ไม่มีเสรีภาพ’ เทียบชั้นเขมร-จีน-พม่า หลังศาลยุบก้าวไกล-ส่งอุยกูร์กลับจีน”


