ชายแดนเดือด! หลังสงกรานต์ การสู้รบในเมียนมา กลับมาปะทุอีกครั้ง

ตาก เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวสถานการณ์ชายแดนไทย -เมียนมา ด้านตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ขณะนี้ได้เกิดการสู้รบ ที่เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ภายหลังเทศกาลสงกรานต์ โดยกองกำลังกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ได้นำกำลังเข้าโจมตี ทหารเมียนมา ที่ บก.ควบคุมยุทธการที่ 12 ซึ่งวางกำลังอยู่ตามเส้นทาง อ.โจ่งโด่ง – อ.กอกาเร็ก จังหวัดกอกาเร็ก รัฐกะเหรี่ยง  บริเวณพื้นที่หลักไมล์ ที่ 4 , หลักไมล์ที่ 5  และหลักไมล์ที่ 9  อ.กอกาเร็ก จ.กอกาเร็ก รัฐกะเหรี่ยง  สหภาพเมียนมา  ด้านตรงข้าม บ้านริมเมย  หมู่ 2 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด  ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 42 กม. 

โดยกองกำลังกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา สามารถควบคุมตัว ทหารเมียนมา และตรวจยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้จำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาทหารเมียนมาได้ตอบโต้ ด้วยการใช้อากาศยาน (แบบ YAK-130) จำนวน 1 ลำ ทิ้งระเบิดบริเวณพื้นที่ วัดกานนี่  บ้านกานนี่ อ.โจ่งโด่ง จ.กอกาเร็ก ส่งผลให้มีพระสงฆ์ และราษฎรได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง  ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ครั้งนี้คาดว่าการสู้รบตามแนวชายแดนจะกลับมาหนักหน่วงและปะทุรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง.

ความล้มเหลวของรัฐบาลไทย ในการช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา ผลจากการทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม ได้โพส์ตข้อความผานเฟสบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า 2 เดือนแห่งการทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกในการจัดการกับขบวนการนำพาและค้ามนุษย์ !! ครบ 2 เดือนในการช่วยเหลือชาวต่างชาติเหยื่อการค้ามนุษย์ จากแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในเมียวดี ยังมีชาวต่างชาติติดค้างไม่ได้กลับบ้านอีก 2,002 คน

ทำไมกระบวนการส่งกลับชาวต่างชาติ (ที่ไม่ใช่ชาวจีน) จึงล่าช้า จนเกิดเหตุประท้วงของชาวต่างชาติ 275 คน ซึ่งมีทั้งชาวเอธิโอเปีย ไนจีเรีย รวันดา กานา เชียร่าลีโอน มาลาวี แคมเมอรูน บุรุนดี ซิมบับเว และ อินเดีย ที่อยู่ในการดูแลของกองกำลัง DKBA ในบ้านช่องแคบ เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ตรงข้ามบ้านช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก คนเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือจากแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ มาอยู่ในที่พักของ DKBA กว่า 2 เดือนแล้ว ไม่มีความคืบหน้าว่าจะได้กลับเมื่อไหร่ เพราะกลไกที่รับต่อของรัฐไทยไม่สามารถปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ความเป็นจริง ที่ต้องใช้กลไกทำงานร่วมกับรัฐบาลเมียนมาที่ไม่มีอำนาจเต็มในพื้นที่เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยงได้

ในรัฐเมืองเมียวดี ที่ต้องมาจัดการผ่านกองกำลัง BGF ถือว่ายากมากพอแล้ว ในขณะที่ DKBA ที่เป็นอีกกองกำลังหนึ่งและไม่มีตัวแทนของรัฐบาลเมียนมาอยู่เลย และมีพื้นที่ห่างจากตัวเมืองเมียวดีพอควร จึงทำให้การจัดการในการส่งผู้ที่คาดว่าเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์นั้นทำได้ยากมากยิ่งขึ้น

ถ้าจำกันได้ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผมได้ไปร่วมสังเกตุการณ์รับชาวต่างชาติ 260 ที่ทางกองกำลัง DKBA ช่วยมาจากแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ให้ข้ามมาไทยผ่านบ้านช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก ข้ามท่าข้ามที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองกำลัง DKBA ส่งให้กับทางการไทยโดยตรง ที่มี พ.อ.ณัฐกร เรือนติ๊บ ผู้บังคับการ ฉก.ราชมนู ทางตำรวจ สภ.พบพระ พร้อมฝ่ายปกครองนายอำเภอพบพระ และทีมสหวิชาชีพ มารับชาวต่างชาติเข้าคัดกรองผ่านกลไกส่งต่อระดับชาติ NRM เพื่อคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์นั้น ถูกมองว่าเป็นการส่งกลับแบบเถื่อนเพราะไม่ได้ผ่านกลไกรัฐต่อรัฐ (G to G) แต่เป็นไงครับตอนนี้ทุกคนได้กลับบ้าน และพบว่าเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์

การเคลื่อนย้ายเหยื่อแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์จากเมียนมา : ภาพจาก เฟสบุ๊ก นายกัณวีร์ สืบแสง 13 ก.พ.2568

แต่ไปดูกลไกรัฐต่อรัฐที่ทำกันระหว่างรัฐบาลเมียนมา จีนและไทยนั้น ถูกมองว่าเป็น “ดีลปีศาจ” ลองดูความเป็นจริงครับว่าเกิดอะไรขึ้น

  1. ชาวต่างชาติรวม 8,951 คน จากจำนวน 33 ชาติ มากที่สุดคือจีน 5,414 คน ที่เริ่มส่งตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.68 ถึง 10 เม.ย.68 คนเหล่านี้ไม่ต้องเข้ากลไก NRM
  2. คนจีนส่งกลับผ่านทางสนามบินแม่สอด กลับไปโดยที่ไทยไม่ได้สอบคัดแยกเหยื่อ หรือคัดแยกว่าใครเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์เลย
  3. สำหรับชาวต่างชาติทั้ง 33 ชาติ มีบางชาติเข้า NRM อย่างย่อ เพราะต้องนั่งรถมาขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
  4. ไทยเราปล่อยให้ข้อมูลการสืบสวนสอบสวน และปราบปรามอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์ จากคนเกือบ 10,000 คน หลุดมือไปแล้ว และคนที่เหลือ 2,002 คน ก็ปล่อยพวกเขาไว้แบบทิ้งขวาง ไร้มนุษยธรรม ที่จะเร่งช่วนคนเหล่านี้กลับบ้าน

อย่ามาเรียกว่านี่คือภารกิจมนุษยธรรมเพราะการปล่อยให้เหยื่อค้ามนุษย์ตกอยู่ในอันตรายแม้จะอ้างว่าการกระทำผิดไม่เกิดในไทย แต่ไทยซึ่งเป็นประเทศทางผ่านและถ้าสอบสวนขยายผลขบวนการนำพานั้น อาชญากรข้ามชาตินี้ได้กระทำความผิดในประเทศไทยคือการนำพาและหลอกลวงคนผ่านประเทศไทย ซึ่งย่อมมีคนไทยเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน

แต่รัฐบาลไทยและตำรวจไทยไม่ทำ เพราะอะไรต้องการปกปิดผลประโยชน์ของใครกันแน่ ??

“ดีลปีศาจ” แลกประเทศระหว่าง 3 ชาติ นี้ต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเฉพาะเราในนามประเทศไทยต้องตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนว่าเป็นการร่วมกันปกปิดการกระทำผิดของใครหรือกลุ่มใดในประเทศไทย ทั้งส่วนกลางและท้องที่ใช่หรือไม่ ??

2 เดือนแห่งการทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ทำเพื่อให้คนจำนวนมาก ๆ หายไปโดยเร็ว โดยเฉพาะคนจีน เลยทำให้เห็นว่าไม่มีการเตรียมความพร้อมในการทำงานให้ครบวงจรและครอบคลุมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการตัดตอนข้อมูลขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ถูกส่งคนจีนกลับจีนโดยทันที และที่ทิ้งคนสัญชาติอื่น ๆ นอกจากจีนให้เผชิญกับความงุนงงของระบบของไทย.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *