“เมื่อไทยจับมืออาชญากรสงคราม” : การทูตที่โลกจับตา กับราคาที่อาจต้องจ่าย

บทความโดย : สมปรารถนา หุงขุนทด บรรณาธิการ TopicThailand

ในการเมืองระหว่างประเทศ ภาพลักษณ์คืออำนาจอ่อน (Soft Power) และการตัดสินใจต้อนรับ “มิน อ่อง ลาย” ผู้นำเผด็จการทหารของเมียนมา ถือเป็นการส่งสัญญาณอันชัดเจนต่อสายตานานาชาติว่า ไทยเลือกจะเดินร่วมเส้นทางกับผู้นำที่ทั่วโลกประณามว่าเป็น “อาชญากรสงคราม”

ชมคลิปรายงานพิเศษ

จากการต้อนรับสู่การถอยห่างจากหลักสิทธิมนุษยชน

ก่อนหน้านี้ “มิน อ่อง ลาย” ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจากเพียงสามประเทศ ได้แก่ รัสเซีย, จีน และเบลารุส ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่มีแนวทางการเมืองแบบอำนาจนิยมหรือเผด็จการ การที่ไทยกลายเป็นประเทศที่ 4 และเป็น “ประเทศแรกในอาเซียน” ที่เลือกต้อนรับผู้นำคนนี้ ยิ่งทำให้โลกตะวันตกและองค์กรสิทธิมนุษยชนตั้งคำถามถึงจุดยืนของไทยอย่างหนัก

หากพิจารณาบริบททางกฎหมายระหว่างประเทศ “มิน อ่อง ลาย” กำลังเผชิญหมายจับจาก ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากกรณีการปราบปรามและเนรเทศชาวโรฮิงญากว่าล้านคน รวมถึงการสังหารและการประหัตประหารที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่

ไม่เพียงเท่านั้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีที่ยื่นฟ้องโดยประเทศแกมเบียและอีก 7 ประเทศ ฐานละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยเมื่อปี 2020 ศาลได้มีคำสั่ง “มาตรการชั่วคราว” ให้เมียนมารับผิดชอบป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ซ้ำ และเก็บรักษาหลักฐานอย่างเข้มงวด

ล่าสุด ศาลอาร์เจนตินา ได้ออกหมายจับมิน อ่อง ลาย อีกคดี และแจ้งต่อ Interpol ให้ประเทศสมาชิกช่วยจับกุมตัวเขา โดยไทยเองก็เป็นสมาชิก Interpol มาตั้งแต่ปี 1951

เมื่อการทูตกลายเป็นการละเลยกฎหมาย

คำถามสำคัญคือ : ไทยในฐานะประเทศสมาชิกของทั้ง Interpol และผู้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาหลายฉบับด้านสิทธิมนุษยชน ควรมีท่าทีอย่างไรเมื่อผู้นำที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อมนุษยชาติเข้ามาในประเทศ?

การที่รัฐบาลไทย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แสดงบทบาทเป็นผู้นำในการต้อนรับอย่างเป็นทางการนั้น ย่อมไม่ใช่เพียงแค่ “มารยาททางการทูต” หากแต่เป็น “ท่าทีทางการเมือง” ที่ชัดเจนว่าสิทธิและเสรีภาพอาจไม่ใช่ลำดับต้น ๆ บนโต๊ะการเจรจาของไทย

หลายฝ่ายอาจมองว่า ความสัมพันธ์กับเมียนมาร์เป็นสิ่งสำคัญในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไทยมีชายแดนติดเมียนมากว่า 2,400 กิโลเมตร มีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และแรงงานข้ามชาติ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือความเสื่อมถอยของภาพลักษณ์ไทยในเวทีโลก

ราคาทางการทูตที่อาจรุนแรงกว่าที่คาด

ในโลกหลังยุคสงครามเย็น หลักสิทธิมนุษยชนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือวัดความชอบธรรมของรัฐบาล หากรัฐบาลไทยยังคงเดินหน้า “เลือกข้างเผด็จการ” อย่างเปิดเผย ก็อาจเสี่ยงต่อผลกระทบทั้งจากความสัมพันธ์กับโลกตะวันตก การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่การลดระดับความร่วมมือในระดับภูมิภาค

การเลือกต้อนรับ “มิน อ่อง ลาย” อาจดูเหมือนแค่ภาพถ่ายจับมือธรรมดา แต่ในสายตาของโลก มันอาจหมายถึงการหันหลังให้ผู้ลี้ภัย ผู้ถูกกดขี่ และหลักการพื้นฐานของมนุษยธรรมหากไทยยังอยากยืนอยู่ในเวทีโลกด้วยศักดิ์ศรี นี่อาจถึงเวลาแล้วที่จะต้องถามตัวเองว่า… “เรากำลังยืนอยู่ข้างใคร?”

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *