วานนี้ (20 มีนาคม 2568) นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันลงพื้นที่สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง สืบเนื่องจากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษร่วมกับกรมศุลกากรและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันตรวจยึดสินค้าผ่านแดนในตู้สินค้าหมายเลข TSSU5129398 BSIU9619966 TXGU5418901 และ JXLU7999350 โดยตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้ง รวมทั้งสิ้น 121,490 ชิ้น คิดเป็นมูลค่า 21,868,200 บาท อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นของต้องห้ามตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 และประกาศกรมศุลกากรที่ 185/2564 เรื่อง พิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดนทางอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ข้อ 6

ซึ่งกรณีดังกล่าวเนื่องมาจากการสืบสวนสอบสวนขบวนการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาภายในราชอาณาจักรภายใต้การอำนวยการของ นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการกองคดีภาษีอากร พร้อมคณะ เลขสืบสวนที่ 214/2567 พบว่ามีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยแต่ผู้นำเข้าไม่ดำเนินการทางพิธีการของศุลกากรจึงได้ทำการเปิดตู้สินค้าเพื่อตรวจสอบ และพบบุหรี่ไฟฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้ง ซุกซ่อนปะปนกับสินค้าอื่น
ทั้งนี้ ของกลางที่ตรวจยึดได้ดังกล่าว กรมศุลกากรจะได้ประเมินราคาเพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อดำเนินคดี โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้เร่งทำการสืบสวนสอบสวนและขยายผลไปยังตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุน ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องและมาตรการพิเศษอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนต่อไป.
การลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่ากฎหมายไทยจะห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า แต่ยังคงพบการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายอย่างแพร่หลาย


สถานการณ์ปัจจุบัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมกับกรมศุลกากรและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตรวจยึดบุหรี่ไฟฟ้าลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศกว่า 120,000 ชิ้น มูลค่าความเสียหายกว่า 21 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วง 21 วันที่ผ่านมา มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 1,741 คดี รวมมูลค่ากว่า 231 ล้านบาท
มาตรการแก้ไขปัญหา
รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้:
- การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด: กฎหมายไทยห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกและปรับเงิน
- ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน: การประสานงานระหว่าง DSI กรมศุลกากร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสืบสวนและปราบปรามการลักลอบนำเข้า
- การเฝ้าระวังและให้ความรู้: การให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าแก่ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน



ปัญหาที่ทำให้การแก้ไขยังไม่สำเร็จ แม้จะมีมาตรการต่าง ๆ แต่ยังมีปัจจัยที่ทำให้ปัญหายังคงอยู่:
- การลักลอบจำหน่ายออนไลน์: การซื้อขายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทำให้ยากต่อการควบคุม
- ความต้องการของผู้บริโภค: ความนิยมในบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ทำให้ความต้องการยังคงอยู่
- การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ทั่วถึง: แม้จะมีกฎหมาย แต่การบังคับใช้อาจยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่
สรุป การแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การให้ความรู้แก่ประชาชน และการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
อ่านข่าวอื่น ๆ :