“อุยกูร์” คืออะไร? ทำไมถึงเป็นปัญหาระดับโลก

“ชาวอุยกูร์” เป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน พวกเขาถูกกล่าวหาว่าถูกกดขี่ทางศาสนา วัฒนธรรม และเสรีภาพ ทำให้บางส่วนพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ

ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2010 ชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งได้ ใช้ไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศที่สาม เช่น ตุรกี พวกเขาเดินทางผ่านจีนไปยังลาวหรือกัมพูชา ก่อนลักลอบเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่มักถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวในสถานกักกันของไทย

ไทยเผชิญแรงกดดันจากทั้ง จีน (ที่ต้องการให้ส่งตัวกลับ) และองค์กรสิทธิมนุษยชน (ที่ต้องการให้ไทยส่งพวกเขาไปประเทศที่ปลอดภัย) ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งทางการทูตและปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก

โดยคืนของวันที่ 26 ก.พ.2568 ได้มีการส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนจากประเทศไทยกลับไปยังประเทศจีน แบบลับๆด้วยรถคุมขังที่ไม่ปรากฎโลโก้ของหน่วยงานใดๆ พร้อมกับปิดเทปกาวสีดำรอบคันและไม่มีการรายงานอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด จนเรื่องได้มาเปิดเผยสู่สาธารณะก็ต่อเมื่อวันที่ 27 ก.พ.2568 ที่ผ่านมา ชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน ได้เดินทางถึงที่ประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว

ทำให้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายด้าน ดังนี้

  • การประณามจากนานาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชน: การกระทำดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนานาชาติ รวมถึงสหรัฐอเมริกาและสหประชาชาติ โดยมองว่าเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและอาจทำให้ผู้ถูกส่งตัวกลับต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิในประเทศจีน
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยภายในประเทศ: เหตุการณ์ในอดีต เช่น การวางระเบิดที่ศาลพระพรหมในปี 2558 ซึ่งเชื่อมโยงกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน ทำให้เกิดความกังวลว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นอีก สถานทูตสหรัฐฯ และญี่ปุ่นได้ออกประกาศเตือนพลเมืองของตนในประเทศไทยให้ระมัดระวังความปลอดภัย
  • ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ: การตัดสินใจส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในด้านการเคารพสิทธิมนุษยชน และอาจทำให้ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกและองค์กรระหว่างประเทศเกิดความตึงเครียด
  • ความกังวลเกี่ยวกับการประท้วงและความไม่สงบ: มีความกังวลว่าการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่การประท้วงต่อต้านรัฐบาลไทยทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ

นอกจากนี้ นักวิชาการจากหลายสถาบันได้วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกรณีนี้ และเสนอแนะแนวทางที่ประเทศไทยควรเตรียมรับมือ จากสถานการณ์ดังกล่าว ประเทศไทยควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจในลักษณะนี้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความปลอดภัยภายในประเทศ

ทำไม? ไทยจึงต้องคัดค้านการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน

ประเทศไทยควรคัดค้านการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้

1. ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน
มีรายงานจากหลายองค์กร เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) และ Amnesty International ว่า ชาวอุยกูร์ในจีนเผชิญกับการกดขี่และละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการกักกันในค่าย “ปรับทัศนคติ”

การส่งตัวพวกเขากลับไปอาจทำให้พวกเขาเผชิญกับ อันตรายจากการทรมานหรือการหายตัวไป ซึ่งขัดกับหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT) ที่ไทยเป็นภาคี

2. ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก
ประเทศไทยอาจถูกมองว่า ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน และไม่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป อาจส่งผลต่อ การพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) จากประเทศเหล่านี้ และกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

3. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงภายในประเทศ
ในอดีต การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนเคยนำไปสู่การโจมตีตอบโต้ในไทย เช่น เหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ปี 2558 ซึ่งคาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับการที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปจีน

การส่งตัวครั้งนี้อาจทำให้เกิด ความไม่พอใจจากกลุ่มที่สนับสนุนชาวอุยกูร์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่สงบหรือการก่อเหตุร้าย

4. ละเมิดหลัก “ไม่ส่งกลับ” (Non-refoulement)
หลักการนี้ระบุว่า ห้ามส่งตัวบุคคลกลับไปยังประเทศที่พวกเขาอาจถูกทรมานหรือประหัตประหาร ซึ่งไทยเคยให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม

ถึงแม้ไทยจะไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาผู้ลี้ภัยของ UN แต่การเพิกเฉยต่อหลักการนี้อาจทำให้ไทยเสียความน่าเชื่อถือในเวทีโลก

5. แนวทางที่ดีกว่า ส่งต่อไปยังประเทศที่สาม
ในอดีต ตุรกีรับผู้อพยพอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ ดังนั้น ไทยสามารถเลือกแนวทางที่เป็นกลาง โดยให้ UNHCR หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนช่วยหาประเทศที่สามที่ปลอดภัย

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *