Month: August 2025

มวยไทยอินเตอร์! รัฐบาลไทยลุยอเมริกา ดัน “มวยไทย” เป็นซอฟต์พาวเวอร์ปังทั่วโลก

เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านกีฬาของไทย ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ยกทีมบุกเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เพื่อทำภารกิจสำคัญภายใต้โครงการ “มวยไทย มาสเตอร์ คลาส ทัวร์ 2025” โดยเป้าหมายหลักคือการส่งเสริมและยกระดับมวยไทยในต่างแดน ในภารกิจนี้ ทีมงานได้เข้าตรวจเยี่ยมค่ายมวยไทยถึง 3 แห่ง ได้แก่ Rise Combat Sports, El Nino และ KOA พร้อมทั้งมอบโล่ Standard Muaythai Gym (SMG) ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานจาก กกท. เพื่อเชิดชูความมุ่งมั่นของค่ายเหล่านี้ที่ช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมไทย มวยไทยดี๊ดี สร้างรายได้เข้าประเทศ คุณชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองประธานคณะอนุกรรมการฯ เผยว่า การรับรองมาตรฐานค่ายมวยในต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญ เพราะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้ค่ายมวยมีลูกค้าเพิ่มขึ้น และสร้างรายได้กลับมาสู่ครอบครัวในไทยได้ ซึ่งค่ายมวยส่วนใหญ่ก็มีคนไทยเป็นเจ้าของ ทำให้เกิดความผูกพันและภาคภูมิใจที่มวยไทยได้รับความสนใจจากต่างประเทศ นอกจากนี้ การส่งเสริมค่ายมวยเหล่านี้ยังกระตุ้นให้ชาวต่างชาติเดินทางมาเรียนมวยที่ไทย ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย จากกีฬาไปสู่ไลฟ์สไตล์ คุณโปรดปราน สมานมิตร รองผู้ว่าการ กกท. เสริมว่า […]

อ่านต่อ

ทำไม “ฮุน เซน” จากอดีตเขมรแดง สู่การครองอำนาจ 40 ปี อะไรที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้นานขนาดนี้?

ชื่อของ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของกัมพูชา คือหนึ่งในปริศนาทางการเมืองที่ซับซ้อนและน่าสนใจที่สุดในโลกยุคใหม่ ผู้ชายคนนี้เริ่มต้นเส้นทางการเมืองด้วยการเป็นอดีตสมาชิกของกองกำลังเขมรแดงที่โหดร้าย แต่กลับสามารถพลิกบทบาทตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศที่ครองอำนาจยาวนานถึง 4 ทศวรรษ จนถึงขนาดถ่ายโอนอำนาจให้ลูกชายได้สำเร็จโดยไม่เกิดการต่อต้านที่รุนแรง คำถามคือ อะไรคือเบื้องหลังของความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อนี้ และเหตุใดนานาชาติจึงไม่สามารถเอาผิดเขาในฐานะอาชญากรสงครามได้? การสร้างอำนาจภายใน สันติภาพที่มาพร้อมกับการผูกขาด หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฮุน เซนยังคงอยู่ในอำนาจคือความสามารถในการมอบ “สันติภาพ” ให้กับประชาชนกัมพูชา หลังยุคเขมรแดงที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและความอดอยาก สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดคือความสงบสุขและความมั่นคง ฮุน เซนก้าวเข้ามาในช่วงเวลาที่เหมาะสมและให้คำมั่นว่าจะยุติสงครามกลางเมืองและฟื้นฟูประเทศ แม้การปกครองของเขาจะถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการคอร์รัปชัน การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการจำกัดสิทธิเสรีภาพ แต่ความสงบที่เขาหยิบยื่นให้ก็เป็นสิ่งที่คนจำนวนมากยอมรับและแลกมาด้วยการยอมรับการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ภายใต้การนำของฮุน เซน ได้สร้างเครือข่ายอำนาจที่แข็งแกร่งและกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในทุกระดับ ตั้งแต่กองทัพ หน่วยงานราชการ ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจ มีการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่างเป็นระบบ ทั้งการยุบพรรคฝ่ายค้าน และการใช้กฎหมายเพื่อเล่นงานผู้ที่เห็นต่าง ทำให้การเลือกตั้งในกัมพูชากลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ผลลัพธ์ถูกกำหนดไว้แล้ว การพลิกบทบาท จากอดีตเขมรแดง สู่ผู้กอบกู้ชาติ ประเด็นที่คนส่วนใหญ่อาจจะสงสัยคือ ทำไมฮุน เซนซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของเขมรแดงจึงไม่ถูกดำเนินคดีในฐานะอาชญากรสงครามเหมือนกับผู้นำคนอื่น ๆ? คำตอบคือ บริบททางการเมืองที่พลิกผัน ในช่วงปี 1977 ฮุน เซนได้ตัดสินใจแยกตัวออกจากเขมรแดงและลี้ภัยไปยังเวียดนาม ก่อนที่จะกลับมากัมพูชาพร้อมกับกองทัพเวียดนามเพื่อโค่นล้มระบอบการปกครองของพอล พต ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้เขาได้รับสถานะเป็น […]

อ่านต่อ

“บอย-เจี๊ยบ” จัดเต็มชาบู-หมูกระทะ สร้างรอยยิ้มให้นักเรียนกำแพงแสน พร้อมส่งกำลังใจถึงทหารชายแดน

ยังคงเดินหน้าทำความดีอย่างต่อเนื่องสำหรับ บอย อนุวัฒน์ และ เจี๊ยบ พิจิตตรา เจ้าของโครงการ #รถกับข้าวบอยเจี๊ยบ ที่ล่าสุดได้เดินทางไปยังโรงเรียนเมืองเก่ากำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เพื่อมอบอาหารมื้อพิเศษและกำลังใจให้กับนักเรียน ครั้งนี้ บอยและเจี๊ยบได้นำเมนูโปรดของพวกเขาอย่าง “ชาบู-หมูกระทะ” ไปเลี้ยงน้อง ๆ ซึ่งคณะครูเผยว่าเด็ก ๆ ยังไม่เคยได้ทานเมนูนี้มาก่อน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม นอกจากจะอิ่มอร่อยกับอาหารแล้ว ทั้งคู่ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษให้น้อง ๆ ได้ร่วมกันส่งกำลังใจถึงทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย สำหรับโรงเรียนเมืองเก่ากำแพงแสนเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนและครูรวมกันประมาณ 80 คน โดยมีนักเรียนบางส่วนเป็นเด็กพิเศษและเด็กกำพร้า ทำให้ทางโรงเรียนมีงบประมาณที่จำกัดและขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน ด้วยเหตุนี้ บอยและเจี๊ยบจึงได้มอบเงินสนับสนุนทุนการศึกษา ชุดนักเรียน และอุปกรณ์การเรียนเพิ่มเติมให้กับน้อง ๆ เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและโอกาสทางการศึกษาของพวกเขา ภารกิจครั้งนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยน้ำใจจากทั้งคู่ รวมถึงเงินจากการเล่นคอนเสิร์ตของบอยและผู้ใหญ่ใจดีที่ร่วมสนับสนุน ซึ่งนอกจากจะช่วยเติมเต็มความสุขทางกายแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังคุณธรรมและจิตสำนึกที่ดีงามให้กับเยาวชนอีกด้วย บอยได้โพสต์ความรู้สึกดี ๆ ในครั้งนี้ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมภาพความประทับใจจากน้อง ๆ และคุณครูที่ร่วมกันกล่าวขอบคุณและให้กำลังใจทุกคนที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ ซึ่งใต้โพสต์นั้นเต็มไปด้วยคอมเมนต์ชื่นชมและร่วมอนุโมทนาบุญมากมาย สามารถติดตามกิจกรรมดี ๆ ของ #รถกับข้าวบอยเจี๊ยบ ในครั้งต่อไปได้ที่ IG: @boypeace […]

อ่านต่อ

“สันติภาพ” ที่หายไปในสมรภูมิข่าวสาร เมื่อ “รักชาติ” กลายเป็นดาบสองคมที่ฟาดฟันเราเอง

ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บรรยากาศของประเทศไทยถูกปกคลุมด้วยความเครียด ความโกรธ และความกังวลจากเหตุการณ์สู้รบตามแนวชายแดน แม้เสียงปืนจะสงบลงชั่วคราว แต่สมรภูมิอีกแห่งที่ยังคงดุเดือดไม่แพ้กัน คือ “สมรภูมิของข่าวสาร” คลื่นความโกรธและความห่วงใยได้ปลุกพลังร่วมแรงร่วมใจของคนในชาติให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง เราเห็นผู้คนแชร์ข่าวอย่างมีอารมณ์ร่วม ภาคเอกชนร่วมใจกันแสดงสัญลักษณ์ของชาติ และประชาชนนับไม่ถ้วนพร้อมใจกันบริจาคโลหิตและส่งกำลังใจให้ทหารแนวหน้า ในภาพรวม ความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้อย่างยิ่ง หลายคนได้ปรับจุดยืนจากที่เคยต่อต้านความขัดแย้งทุกรูปแบบ หันมาให้น้ำหนักกับความมั่นคงและมองว่าการตอบโต้ทางการทหารและการทูตที่เข้มข้นขึ้นเป็นเรื่องที่จำเป็น เมื่อ “รักชาติ” ถูกฉาบด้วยอคติและชาตินิยมสุดโต่ง แต่ในรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่านั้น กระแส “รักชาติ” ในครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่พลังแห่งความร่วมมือ แต่ยังปะปนไปด้วยอารมณ์ของการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การดูถูกเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์เพียงเพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ การเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริง และการสนุกสนานกับข่าวปลอมที่มุ่งดิสเครดิตอีกฝ่าย ปรากฏการณ์นี้กลายเป็น “ชาตินิยมแบบสุดโต่ง” ที่แทรกซึมอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่โพสต์ของบุคคลทั่วไป ไปจนถึงการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์ และองค์กรสื่อชั้นนำ ซึ่งน่าสนใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับแม้กระทั่งผู้ที่เคยตั้งคำถามกับแนวคิดชาตินิยมและทหารนิยมมาก่อน “ความเป็นมนุษย์” ที่ถูกกลืนกินโดย “ความเป็นเจ้าของ” เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความถูกหรือผิด ดีหรือเลว แต่มันชวนให้เรามาสำรวจความซับซ้อนภายในจิตใจของมนุษย์ ที่ไม่มีใครเป็น “อนุรักษนิยม” หรือ “เสรีนิยม” ได้อย่างบริสุทธิ์ตลอดเวลา สถานการณ์และเงื่อนไขของชีวิตต่างหากที่เป็นตัวกำหนดว่าเราจะแสดงจุดยืนอย่างไร บางคนกล่าวไว้ว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกเป็น “เจ้าของ-เจ้าที่” ไม่ว่าจะเป็นในระดับดินแดน วัฒนธรรม ระบบ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัว เราก็จะเริ่มยึดติดและแสดงความเป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้น […]

อ่านต่อ

“สื่อกัมพูชา” VS “สื่อไทย” ศึกสงครามข้อมูลใครชนะ? เจาะลึกโครงสร้างและจุดยืนที่ต่างกันสุดขั้ว

ในโลกที่ข้อมูลข่าวสาร หลั่งไหลไร้พรมแดน บทบาทของสื่อมวลชนไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังเป็นผู้กำหนดมุมมองความจริงและสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศ บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงโครงสร้างการทำงานและบทบาทของสื่อมวลชนระหว่างประเทศไทย และกัมพูชา โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญ รวมถึงมุมมองที่ประชาคมโลกมีต่อสื่อของทั้งสองประเทศ บนพื้นฐานของความเป็นกลางและข้อเท็จจริง โครงสร้างและการควบคุม สื่อไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน vs. สื่อกัมพูชาภายใต้การกำกับ สื่อมวลชนไทย : มีโครงสร้างที่ค่อนข้างหลากหลายและซับซ้อน ประกอบด้วยสื่อของรัฐ (เช่น Thai PBS, NBT), สื่อเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ (เช่น ช่อง 3, 7, Workpoint) และสื่อออนไลน์อิสระจำนวนมาก แม้จะมีกฎหมายที่รับรองเสรีภาพในการแสดงออก แต่สื่อไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากแรงกดดันทางการเมืองและทุนนิยม การแทรกแซงจากภาครัฐและกลุ่มทุนยังคงเป็นปัญหาที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในประเด็นที่อ่อนไหว เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง อย่างไรก็ตาม สื่อออนไลน์และสื่ออิสระได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ ทำให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจมากขึ้น สื่อมวลชนกัมพูชา : มีโครงสร้างที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน สื่อส่วนใหญ่เป็นของรัฐ หรือมีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับพรรครัฐบาล มีเพียงไม่กี่แห่งที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง การออกใบอนุญาตและการดำเนินงานของสื่อมักอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสารสนเทศอย่างใกล้ชิด การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือผู้นำมักนำไปสู่การถูกคุกคามหรือปิดกิจการ ส่งผลให้เกิดความจำกัดในเนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอ ความหลากหลายทางความคิดเห็นจึงมีน้อยกว่าในประเทศไทยมาก บทบาทในการทำหน้าที่ : รายงานข่าว vs. เครื่องมือของรัฐ บทบาทของสื่อไทย […]

อ่านต่อ

ว้าวุ่นเลย! “รีเกียน” น็อก “จอร์จ” ร่วง! สองนักชกไทย “เสือคิม-รุ่งราวี” ก็ปังไม่ไหว

สุดมันส์! ศึก ONE Fight Night 34 ที่เวทีลุมพินี (รามอินทรา) เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา เหล่านักชกต่างปล่อยของกันแบบไม่มียั้ง แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้น “รีเกียน เออร์เซล” ที่ยังคงความแกร่งแบบไม่มีใครต้านอยู่ “รีเกียน” น็อกโหด! ป้องกันแชมป์พร้อมรับโบนัสสุดปัง ใครว่าแน่เจอ “รีเกียน เออร์เซล” นักชกจากซูรินาม วัย 32 ปี ที่ขึ้นสังเวียนป้องกันแชมป์ ONE มวยไทย รุ่นไลต์เวต จาก “จอร์จ จาร์วิส” ผู้ท้าชิงชาวอังกฤษ วัย 24 ปี แต่เอาจริง “รีเกียน” ใช้เวลาแค่ 1 นาที 24 วินาที ของยกแรกซัดหมัดชุดใหญ่แบบไม่เกรงใจ จน “จอร์จ” ร่วงน็อกไปแบบหมดสภาพ ป้องกันแชมป์สำเร็จเป็นครั้งที่ 3 แถมยังฟันโบนัสเข้ากระเป๋าไปเหนาะๆ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือกว่า 1.6 ล้านบาท) บอกเลยว่านี่แหละตัวจริง! […]

อ่านต่อ

ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก! สมาคม SMTIA จับมือพันธมิตร ปั้น Medical & Wellness Tourism Hub ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง

สมาคมนวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์แบบยั่งยืน (SMTIA) ประกาศภารกิจครั้งสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น “ศูนย์กลางระดับโลกด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Medical & Wellness Tourism Hub)” โดยมุ่งเน้นการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน ทั้งการแพทย์ การท่องเที่ยว ธุรกิจ และชุมชน เพื่อสร้างประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่ครบวงจรและยั่งยืน สมาคม SMTIA เล็งเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น “Global Wellness Destination” ด้วยการผสมผสานจุดแข็งด้านต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น: นพ.ทวีศักดิ์ เนตรวงษ์ นายกสมาคมฯ เปิดเผยว่า สมาคมฯ ไม่ได้เป็นเพียงองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เท่านั้น แต่คือ “พลังของความร่วมมือใหม่” ที่จะผลักดันให้ทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ตั้งแต่การป้องกัน การฟื้นฟู ไปจนถึงการลงทุนในสุขภาพเพื่ออนาคต สมาคมฯ มีเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวที่ชัดเจน เช่น การจัดตั้ง Longevity Club ในทุกจังหวัดเพื่อสร้างเครือข่ายสุขภาพทั่วประเทศ, การดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากทั่วโลกให้เข้าร่วมโปรแกรมดูแลสุขภาพระยะยาว, และการพัฒนาแพลตฟอร์มอย่าง WellTrip เพื่อเชื่อมโยงบริการด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน นพ.ทวีศักดิ์ กล่าวเชิญชวนผู้ประกอบการ คลินิก โรงพยาบาล โรงแรม บริษัททัวร์ และทุกองค์กรที่สนใจให้มาร่วมเป็นพันธมิตร […]

อ่านต่อ

SECOM ยกระดับความปลอดภัย เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่! ผสานเทคโนโลยี AI และความเชี่ยวชาญของมนุษย์ ภายใต้แนวคิด “Hybrid Security”

กรุงเทพฯ – SECOM ผู้นำด้านระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรจากญี่ปุ่น ประกาศเปิดตัวสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยโฉมศูนย์ควบคุม 24 ชั่วโมง (Control Center) ที่เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของบริการ   การเปิดสำนักงานใหญ่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการขยายพื้นที่ แต่เป็นการรวมศูนย์กลางการทำงานที่สำคัญไว้ในที่เดียว ทั้งศูนย์ควบคุมแห่งใหม่, โชว์รูมนวัตกรรม “Demo House” และ “Demo Café” เพื่อเป็นพื้นที่จัดแสดงศักยภาพของ SECOM ในฐานะ Smart Security Brand อันดับ 1   ‘Hybrid Security’ นวัตกรรมความปลอดภัยยุคใหม่   ในงาน SECOM Open House & Control center คุณคิโยชิ โมริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม จำกัด ได้กล่าวเน้นย้ำว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และการลงทุนในครั้งนี้สะท้อนความมุ่งมั่นในการส่งมอบความอุ่นใจ (Peace of Mind) ให้แก่ลูกค้าอย่างแท้จริง   […]

อ่านต่อ

รวบแรงงานกัมพูชา 16 ชีวิต ลอบเข้าไทย หวังหางาน-ให้ลูกได้สอบ สุดท้ายถูกทิ้งไร้เยื่อใย

กลุ่มแรงงานกัมพูชา 12 คน พร้อมเด็กอีก 4 คน ตัดสินใจจ่ายหัวละ 6,000 บาท หวังข้ามแดนกลับไทย แต่ถูก “ผู้นำพา” ปล่อยทิ้งกลางป่าชายแดน ก่อนถูกรวบโดยทหารพราน ขณะเดินเท้าหลงทางในพื้นที่แนวชายแดนสระแก้ว วันนี้ (2 ส.ค. 2568) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองกำลังบูรพา โดยหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ และกองร้อยทหารพรานที่ 1201 ได้จัดกำลังลาดตระเวนตรวจตราบริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา พื้นที่บ้านดงงู ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ระหว่างการลาดตระเวน เจ้าหน้าที่พบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยจำนวน 16 คน กำลังเดินเท้าอย่างลำบากผ่านช่องทางธรรมชาติ เมื่อเข้าตรวจสอบใกล้ชิด พบว่าเป็นแรงงานชาวกัมพูชา 12 ราย (ชาย 6 หญิง 6) พร้อมเด็กชายอีก 4 คน ซึ่งทั้งหมดไม่มีเอกสารเดินทางหรือหนังสืออนุญาตเข้าเมือง จากการสอบถามเบื้องต้น แรงงานกลุ่มนี้เคยทำงานขายของในตลาดเบญจวรรณ อ.อรัญประเทศ แต่เดินทางกลับประเทศกัมพูชาเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากวิตกสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดน แต่หลังจากกลับไปพักอยู่ที่บ้านได้เพียงไม่กี่วัน พวกเขากลับประสบปัญหาไม่มีรายได้ และลูกบางคนยังคงเรียนในไทย […]

อ่านต่อ

“กรมที่ดิน” เตรียมเพิกถอนเอกสารสิทธิในพื้นที่”เขากระโดง” หลังแนวเขตที่ดินยุติชัดเจน ศาลชี้เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท.

กรมที่ดินเตรียมดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกในพื้นที่เขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ หลังแนวเขตที่ดินบริเวณดังกล่าวได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลปกครองกลาง ถือเป็นการยุติข้อพิพาททางกฎหมายที่ยืดเยื้อมานานระหว่างรฟท. และผู้ถือครองเอกสารสิทธิซ้อนทับในพื้นที่ กรณีดังกล่าวเกิดจากการที่ประชาชนบางส่วนเข้าครอบครองพื้นที่ดินบริเวณเขากระโดง และมีการออกเอกสารสิทธิทับซ้อนกับที่ดินที่รฟท. ถือครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาศาลฎีกาได้วินิจฉัยให้ที่ดินกว่า 5,000 ไร่บริเวณดังกล่าวเป็นของรฟท. โดยระบุว่า ผู้ครอบครองไม่สามารถพิสูจน์สิทธิที่ดีกว่าได้ จึงถือเป็นการครอบครองโดยมิชอบ ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายืนยันว่า เมื่อศาลฎีกาตัดสินให้ที่ดินเป็นของรฟท. แล้ว รฟท. ย่อมมีสิทธิยืนยันกรรมสิทธิ์ต่อบุคคลภายนอก เว้นแต่บุคคลนั้นจะพิสูจน์สิทธิที่เหนือกว่า ซึ่งไม่มีในกรณีนี้ พร้อมทั้งสั่งให้กรมที่ดินดำเนินการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อรังวัดและสอบเขตพื้นที่ร่วมกับ รฟท. อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นในช่วงแรกกลับไม่สามารถดำเนินการได้ตามคำสั่งศาล โดยอ้างเหตุผลเรื่องความเป็นกลางและความไม่ชัดเจนของแนวเขตที่ดิน ซึ่งภายหลังถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และทำให้รัฐเสียหาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ต่อมา ในปี 2566 คณะทำงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และพบว่า รฟท. และกรมที่ดินได้ดำเนินการรังวัดแนวเขตร่วมกันแล้วเสร็จในปี 2567 โดยแนวเขตที่รังวัดสอดคล้องกับแผนที่ที่ใช้ในการพิจารณาคดีตั้งแต่ปี 2539 ซึ่งถ่ายทอดจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2464 ด้วยเหตุนี้ กรมที่ดินจึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธิทั้งหมดที่ออกทับซ้อนในพื้นที่ดังกล่าวตามมาตรา 61 วรรคแปด แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อคืนความถูกต้องให้กับการถือครองที่ดินของรัฐ

อ่านต่อ