ความรู้ทั่วไป

รู้หรือไม่? ทำไมคนไทยต้องพูดว่า “สวัสดี” คำทักทายธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า เหตุใดคนไทยจึงใช้คำว่า “สวัสดี” ในการทักทายกันในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ในอดีต การทักทายกันในหมู่คนไทยมักใช้คำธรรมดาอย่าง “ไปไหนมา”, “กินข้าวหรือยัง” หรือ “อยู่ดีไหม” แล้วคำว่า “สวัสดี” มาจากไหน และเหตุใดจึงกลายเป็นคำทักทายหลักของชาติไทย? คำว่า “สวัสดี” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตคำว่า “สวสฺติ” (svasti) ซึ่งหมายถึง ความดี ความสุข ความเจริญ หรือความปลอดภัย การใช้คำนี้จึงเปรียบเสมือนการอวยพรให้ผู้ฟังประสบสิ่งดี ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นบทสนทนา โดยคำว่า “สวัสดี” ถูกบัญญัติขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 6 โดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งต้องการให้มีคำทักทายแบบสุภาพ เป็นทางการ และเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย เช่นเดียวกับคำว่า “Hello” ในภาษาอังกฤษ หรือ “Bonjour” ในภาษาฝรั่งเศส ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการ ส่งเสริมให้ประชาชนใช้คำว่า “สวัสดี” อย่างกว้างขวาง ผ่านการสื่อสารจากภาครัฐและการศึกษา จนกลายเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปทั้งในชีวิตประจำวันและในพิธีการทางการ นอกจากนั้น การใช้คำว่า “สวัสดี” ยังมักมาคู่กับการไหว้ […]

อ่านต่อ

“สงกรานต์ทำไมต้องมีแป้ง? เฉลยความลับ ‘ดินสอพอง’ ที่ไม่ได้มีดีแค่ขาวเย็น!”

เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ ภาพคุ้นตาที่เรามักเห็นเสมอคือผู้คนเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน พร้อมกับ “แป้งขาวๆ” ที่ป้ายหน้ากันอย่างเป็นมิตร นั่นคือ แป้งดินสอพอง ซึ่งหลายคนอาจเคยสงสัยว่า ทำไมต้องมีแป้งนี้ในการเล่นสงกรานต์? และ แป้งนี้คืออะไร มีที่มาอย่างไร? ดินสอพองคืออะไร? ดินสอพอง คือดินธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่ผ่านการแปรรูปโดยการเผาและล้างจนสะอาด ก่อนจะบดและปั้นเป็นก้อนหรือเม็ดเล็กๆ ละลายน้ำแล้วกลายเป็นแป้งสีขาวที่เราคุ้นเคย ดินนี้มีคุณสมบัติเย็น ผสมกับน้ำแล้วให้สัมผัสที่เย็นสบาย นิยมนำมาใช้ในพิธีกรรม พุทธศาสนา และงานประเพณีต่างๆ มาแต่โบราณ ทำไมแป้งดินสอพองถึงใช้ในสงกรานต์? ในอดีต การปะแป้งดินสอพองในเทศกาลสงกรานต์ เป็นการแสดงถึงความเคารพและความปรารถนาดี โดยเฉพาะในการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ จะใช้แป้งขาวผสมน้ำหอมลูบเบาๆ ที่ไหล่หรือหลัง เป็นการอวยพรและขอขมา แสดงถึงความบริสุทธิ์ สะอาด และเย็นใจ เมื่อเวลาผ่านไป การเล่นแป้งกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของการเล่นสงกรานต์ที่ให้ความสนุกสนาน ปลอดภัย และยังคงกลิ่นอายของประเพณีดั้งเดิมไว้ได้อย่างงดงาม ดินสอพองทำมาจากอะไร? ดินสอพองทำจาก ดินขาวธรรมชาติ ที่มีชื่อว่า ดินมาร์ล (Marl) หรือ ดินดานสีขาว ซึ่งมีแร่แคลเซียมคาร์บอเนตสูง โดยผ่านกระบวนการเผาเพื่อฆ่าเชื้อ ล้างให้สะอาด จากนั้นบดและปั้นขึ้นรูป ก่อนจะนำไปตากแห้ง ชื่อ “ดินสอพอง” มีที่มาและความหมายที่สะท้อนถึงลักษณะและกระบวนการผลิตของวัสดุนี้อย่างชัดเจน […]

อ่านต่อ

ตามรอยประวัติศาสตร์วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 จังหวัดตราด บทเรียนแห่งการรักษาอธิปไตย และการพัฒนาที่ยั่งยืน

วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 นับเป็นหนึ่งในบททดสอบความอยู่รอดที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อประเทศต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากมหาอำนาจตะวันตก ด้วยความที่สยามในขณะนั้น ยังขาดความพร้อมในหลายด้าน ทำให้เอกราชของชาติตกอยู่ในความเสี่ยง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทย ประเทศชาติจึงยังคงรักษาอธิปไตยไว้ได้ แม้ต้องยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นการแลกเปลี่ยนกับการได้จังหวัดจันทบุรีและตราด กลับคืนมา เป็นสัญลักษณ์แห่งความเพียรพยายามทางการทูตของบูรพกษัตริย์ไทยที่ปกป้องผืนแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานในยามที่ประเทศต้องเผชิญภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคม เพื่อสืบสานบทเรียนอันทรงคุณค่านี้ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จึงได้จัดโครงการ “ทิพยสืบสาน รักษาต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา” ครั้งที่ 50 นำคณะครูอาจารย์ และผู้สนใจ เดินทางสู่ดินแดนตะวันออก เพื่อตามรอยประวัติศาสตร์ เรื่องเขตแดนที่มักถูกลืมเลือนไปจากตำราเรียน พร้อมทั้งศึกษาวิถีชีวิตของชุมชนที่นำแนวพระราชดำริมาพลิกฟื้นความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดินและท้องทะเลแห่งตราด ด้วยความเชื่อที่ว่าความมั่นคงของชาติในองค์รวมมิใช่เพียงแค่การปกป้องดินแดน แต่ยังรวมถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปด้วย กิจกรรมในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการได้เดินทางไปยัง เกาะลิง บ้านบางปิดล่าง จังหวัดตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาอธิปไตยของชาติไทย คณะผู้เข้าร่วมโครงการได้ศึกษาหมุดพรมแดนที่ฝรั่งเศสปักไว้ในช่วงวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามของประเทศมหาอำนาจในการแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมุดพรมแดนแห่งนี้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงการเจรจาและการดำเนินนโยบายทางการทูตอย่างชาญฉลาดของไทย ที่สามารถรักษาเอกราชและอธิปไตยเหนือดินแดนไว้ได้ในยุคล่าอาณานิคม วิทยากร ได้บรรยายถึงความสำคัญของพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นพรมแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส (ปัจจุบันคือประเทศกัมพูชา) ที่ถูกกำหนดขึ้นจาก “สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907” ลงวันที่ 23 มีนาคม […]

อ่านต่อ

มารู้จัก “โรคสมองเมาแผ่นดินไหว” อาการหลอน-เวียนหัว ที่หลายคนยังไม่รู้!

จากเพจ สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์ ได้โพสต์จ้อความระบุสาระสำคัญไว้ว่า มารู้จัก โรคสมองเมาแผ่นดินไหว (Earthquake Drunk)  หรือ  โรคสมองหลอนแผ่นดินไหว (Earth quake illusion) วันนี้ นั่งดีๆ ตัวโยก คิดว่าเป็นอัมพาตซะแล้ว มองไป เพื่อนๆ พากัน ตั้งสติ เฮ้ยใจสั่นเวียนหัว วิ่งหลบ แผ่นดินไหวจบ นอกจาก สิ่งก่อสร้างเสียหาย แต่ยังมีอาการตอบสนองต่อร่างกายยังไม่จบเป็นอาการต่อเนื่องด้วย  เอา จริงๆ  อจ ยัง รู้สึก หวั่นๆ โยกๆ อยู่นิดนึง กลุ่ม อาการเหล่านี้ ที่ญี่ปุ่นรู้ดีเพราะแผ่นดินไหวบ่อย ไทยเรา รู้ไว้ด้วยจะได้ สังเกตตัวเอง อาการอะไรบ้าง เกิดต่อร่างกาย จิตใจหลัง แผ่นดินไหว 1. สมองเมาแผ่นดินไหว (Earthquake Drunk) กลุ่มอาการวิงเวียนหลังแผ่นดินไหว หรือ Post-Earthquake Dizziness Syndrome หรือ […]

อ่านต่อ

“ล่ากะปอม” วิถีเด็กอีสาน ผูกพันธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่น

“เสียงแคน เสียงจิ้งหรีด กับค่ำคืนในชนบท” เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน ลมเย็นพัดผ่านทุ่งนา เสียงแคนแว่วมาแต่ไกล ปะปนกับเสียงจิ้งหรีดร้องระงมในค่ำคืนที่เงียบสงบ นี่คือบรรยากาศของชนบทอีสานที่หลายคนจดจำได้ดี และเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านเตรียมตัวออกล่ากะปอม อาหารพื้นบ้านที่กลายเป็นตำนานของคนอีสาน “ล่ากะปอม” วิถีชีวิตที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่เด็กจนโต คนอีสานเติบโตมากับธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน หนึ่งในนั้นคือการหากะปอม หรือที่หลายคนเรียกว่า “กิ้งก่าบ้าน” ที่ออกมาอาบแดดตามต้นไม้หรือโพรงดินในช่วงกลางวัน เมื่อถึงเวลาเย็น ชาวบ้านมักรวมตัวกันเป็นกลุ่ม พกไฟฉาย คนหนึ่งถือไม้ อีกคนเตรียมเชือกบ่วงสำหรับคล้องคอ เด็กชายตัวน้อยเดินตามหลังพ่อ แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ชายวัยกลางคนซึ่งชำนาญการจับกะปอมมาแต่เด็ก เล่าประสบการณ์ด้วยรอยยิ้ม “สมัยพ่อเป็นเด็ก บ่มีอะไรกินหลาย กะต้องหากะปอม ปิ้งจิ้มแจ่ว แซ่บคักเด้อ” เทคนิคจับกะปอม ภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ ชาวบ้านแต่ละคนมีวิธีจับกะปอมที่แตกต่างกัน บางคนใช้บ่วงเชือกคล้องคอ บางคนใช้ไม้ไผ่เคาะให้ตกจากต้นไม้ หรือใช้มือเปล่าจับแบบรวดเร็ว ในคืนที่ดวงจันทร์ส่องแสงจางๆ ไฟฉายส่องไปตามกิ่งไม้ใหญ่ เงาสะท้อนดวงตากะปอมทำให้หาง่ายขึ้น เสียงเด็กน้อยตื่นเต้นเมื่อเห็นกะปอมเกาะนิ่งอยู่บนต้นไม้สูง “พ่อ ๆ อยู่ทางนี้!” ชายวัยกลางคนใช้บ่วงเชือกคล้องอย่างแม่นยำ ดึงเบาๆ กะปอมดิ้นเล็กน้อยก่อนจะถูกจับอย่างระมัดระวัง จากล่ากะปอม สู่เมนูพื้นบ้านรสเด็ด เมื่อได้กะปอมมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรุงอาหาร สูตรเด็ดที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมักเป็นเมนูง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยความอร่อย […]

อ่านต่อ

“จับจั๊กจั่น” วิถีชาวบ้าน เปิดฤดูกาลล่าแมลงเสียงดัง! กับเคล็ดลับการจับแบบดั้งเดิม

การจับจั๊กจั่นเป็นวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมาของชาวบ้านในชนบทของไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นการหาอาหารพื้นบ้านแล้ว ยังเป็นรายได้เสริมในช่วงฤดูกาลเฉพาะอีกด้วย จั๊กจั่นเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตเฉพาะ โดยจะออกจากดินมาลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมของทุกปี วิธีการจับจั๊กจั่น ช่วงเวลาที่มีการจับจั๊กจั่นขึ้นอยู่กับวงจรชีวิตและฤดูกาลของจั๊กจั่น ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็นช่วงเวลาหลัก ๆ ดังนี้ 1. ฤดูที่เหมาะแก่การจับจั๊กจั่น ช่วงต้นฤดูฝน (พฤษภาคม – กรกฎาคม)เป็นช่วงที่ตัวอ่อนของจั๊กจั่นที่ฝังตัวอยู่ใต้ดินเริ่มขึ้นมาสู่พื้นดินเพื่อเตรียมเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย ชาวบ้านในบางพื้นที่ เช่น ภาคอีสานและภาคเหนือของไทย จะเริ่มจับจั๊กจั่นในช่วงนี้ เพราะจั๊กจั่นยังมีเนื้อนุ่มและมีรสชาติอร่อย ปลายฤดูฝน – ต้นฤดูหนาว (สิงหาคม – ตุลาคม)เป็นช่วงที่จั๊กจั่นโตเต็มวัยและเริ่มส่งเสียงร้องหาคู่ จั๊กจั่นในช่วงนี้จะมีปริมาณมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีต้นไม้เยอะ เช่น ป่าโปร่ง ทุ่งนา และสวนผลไม้ 2. ช่วงเวลาที่นิยมจับจั๊กจั่นในแต่ละวัน เทคนิคการจับจั๊กจั่น การจับจั๊กจั่นเป็นวิถีชีวิตของชาวชนบทที่สืบทอดกันมายาวนาน และยังเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูง เป็นอาหารพื้นบ้านที่หายากและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว! จั๊กจั่นเป็นแมลงที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และมีรสชาติคล้ายกุ้งหรือไก่ จึงสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายเมนู ทั้งแบบพื้นบ้านและแบบฟิวชัน โดยเมนูยอดนิยม ได้แก่ เมนูจั๊กจั่นแบบดั้งเดิม เมนูจั๊กจั่นแนวสร้างสรรค์ 5. จั๊กจั่นชุบแป้งทอด – คลุกจั๊กจั่นกับแป้งทอดกรอบ ทอดให้เหลืองกรอบ เสิร์ฟคู่กับซอสมายองเนสหรือซอสพริก 6. […]

อ่านต่อ

“ไข่ผำ” ไข่มุกสีเขียวแห่งสายน้ำ สุดยอดอาหารแห่งอนาคต

ไข่ผำคืออะไร? ไข่ผำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Wolffia globosa) เป็นพืชน้ำขนาดเล็กที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก อยู่ในตระกูลเดียวกับแหนแดงและแหนเป็ด แต่ต่างกันตรงที่ไม่มีราก เป็นพืชน้ำที่เติบโตลอยอยู่บนผิวน้ำ สีเขียวสดใส มีขนาดประมาณ 0.1-1 มิลลิเมตร เล็กจนดูเหมือนไข่ปลาหรือเม็ดไข่มุก จึงได้ชื่อว่า “ไข่ผำ” หรือบางที่เรียกว่า “ไข่น้ำ” คุณค่าทางโภชนาการของไข่ผำ ถึงจะตัวเล็ก แต่ไข่ผำกลับอุดมไปด้วยสารอาหารที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งสูงถึง 40-45% ของน้ำหนักแห้ง เทียบเท่ากับถั่วเหลือง และมากกว่าเนื้อสัตว์บางชนิด นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนจำเป็น วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เช่น โปรตีนสูง อุดมไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน วิตามิน B12 ซึ่งพบได้น้อยในพืช จึงเหมาะสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ แร่ธาตุสำคัญ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ไฟเบอร์สูง ดีต่อระบบย่อยอาหารและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สรรพคุณของไข่ผำ ไข่ผำเป็นสุดยอดอาหารที่มีคุณประโยชน์หลายประการ เช่น▪️ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ – ด้วยโปรตีนสูง ไข่ผำช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ดี▪️ บำรุงเลือด – ธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง▪️ […]

อ่านต่อ

“นั่งผิดชีวิตเปลี่ยน!” แพทย์เตือน นั่งไม่ถูกท่าเสี่ยงหมอนรองกระดูกทับเส้น – ปวดหลังเรื้อรัง

หมอเฉพาะทางชี้! นั่งผิดท่าบ่อย ๆ เสี่ยงกระดูกเสื่อม-หมอนรองกระดูกเคลื่อน แนะวิธีนั่งให้ถูกหลัก ป้องกันอาการปวดหลังเรื้อรัง นพ.พร นริศชาติ แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ เผยว่า “การนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน” ไม่ใช่แค่ทำให้ปวดหลังชั่วคราว แต่ยังเสี่ยงเป็น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดรุนแรง ชา อ่อนแรง และเดินลำบาก โดยเฉพาะเมื่อมีการกดทับหมอนรองกระดูกอย่างผิดวิธีเป็นเวลานาน ทำไมนั่งผิดท่าถึงเป็นอันตราย? ✅ แรงกดทับผิดจุด – การนั่งหลังค่อมหรือโน้มตัวไปข้างหน้าทำให้หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่ถูกต้อง เสี่ยงต่อการเสื่อมหรือเคลื่อน✅ กระดูกสันหลังบิดเบี้ยว – นั่งเอียงตัวหรือหลังไม่ตรง ส่งผลให้หมอนรองกระดูกรองรับแรงกดผิดรูป เกิดการเสื่อมหรือยุบตัว✅ นั่งนานเกินไป – ไม่เปลี่ยนท่าทางเลยทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด เพิ่มแรงกดทับหมอนรองกระดูก✅ เสี่ยงกดทับเส้นประสาท – หมอนรองกระดูกที่เคลื่อนผิดที่ อาจกดทับเส้นประสาทจนเกิดอาการปวดร้าวลงขา (Sciatica) หรือชาขา อาการเตือนที่ห้ามมองข้าม! วิธีนั่งให้ถูกต้อง ป้องกันปวดหลัง-กระดูกเสื่อม ▪️ นั่งหลังตรง ขาชิดพื้น งอเข่าทำมุม 90 องศา▪️เปลี่ยนท่าทางทุก 30-60 นาที ลุกเดิน ยืดเส้นยืดสาย▪️ […]

อ่านต่อ

วิถีชีวิตหาเก็บ”ไข่มดแดง” วัฒนธรรมถิ่นอีสานในทุกคำเล่า

ในหลายชุมชนของภาคอีสาน การหาเก็บไข่มดแดงไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่เป็นวิถีชีวิตและประเพณีที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น กิจกรรมนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างคนกับธรรมชาติ ที่สามารถนำทรัพยากรธรรมชาติมาเปลี่ยนเป็นอาหารและรายได้เสริมได้อย่างยั่งยืน ประวัติและความเป็นมาของการหาเก็บไข่มดแดง การเก็บไข่มดแดงมีรากฐานมาจากความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวอีสานในอดีต เมื่อชุมชนในพื้นที่ห่างไกลจากแหล่งอาหารและรายได้ประจำ พวกเขาจึงพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัว หนึ่งในนั้นคือไข่มดแดงที่พบในพื้นที่ทุ่งนาและป่าไม้ การเก็บไข่มดแดงจึงกลายเป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ให้คุณค่าทางโภชนาการแต่ยังเป็นการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย ขั้นตอนและวิธีการเก็บไข่มดแดง การเก็บไข่มดแดงในภาคอีสานมีกระบวนการที่ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์จากผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน โดยทั่วไปจะเริ่มจากการสังเกตฤดูกาลที่ไข่มดแดงออกไข่ ซึ่งมักจะตรงกับช่วงปลายฝนหรือต้นแล้ง ผู้เก็บไข่มดแดงส่วนใหญ่เป็นหญิงที่มีความชำนาญในการระบุที่อยู่ของมดและไข่ในรัง การค้นหาตำแหน่งรังมด ผู้เก็บไข่มดแดงจะเดินสำรวจบริเวณทุ่งนา ป่าไม้ หรือริมคลองที่เป็นที่อยู่อาศัยของมดแดง โดยใช้ความรู้จากประสบการณ์ในการระบุร่องรอยหรือกลิ่นเฉพาะของรังมด การเก็บไข่ เมื่อพบรังมดแดง ผู้เก็บจะใช้เครื่องมือแบบง่าย ๆ เช่น กระเป๋าหรือภาชนะที่เตรียมไว้ล่วงหน้าในการเก็บไข่ โดยต้องระมัดระวังไม่ให้รบกวนระบบธรรมชาติและไม่ทำลายรังมดเกินความจำเป็น การคัดแยกและเตรียมไข่ หลังจากเก็บไข่มดแดงแล้ว จะมีการคัดแยกไข่ที่มีคุณภาพดีจากไข่ที่ไม่สมบูรณ์ โดยไข่ที่ได้มักจะถูกล้างหรือแช่น้ำเกลือในบางพื้นที่เพื่อเพิ่มความสดและยืดอายุการเก็บรักษา คุณค่าทางโภชนาการและการนำไปประกอบอาหาร ไข่มดแดงเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพ ชาวอีสานมักนำไข่มดแดงไปประกอบอาหารหลากหลายรูปแบบ เช่น ▪️ส้มตำไข่มดแดง : การผสมผสานรสเปรี้ยว เผ็ด และเค็มเข้ากันได้อย่างลงตัว ▪️แกงไข่มดแดง : ใช้ไข่มดแดงเป็นส่วนประกอบในแกงที่มีกลิ่นหอมของสมุนไพรท้องถิ่น ▪️ทอดไข่มดแดง : เทคนิคการทอดไข่มดแดงให้กรอบนอกนุ่มใน เป็นของว่างหรือทานเล่นที่ได้รับความนิยม นอกจากคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ไข่มดแดงยังเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและความพยายามของชุมชนในการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วิถีชีวิตและการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยใหม่ […]

อ่านต่อ

รู้หรือไม่ ทำไมอเมริกาถึงทิ้งระเบิดกว่า 270 ล้านลูกใส่ลาวในช่วงสงครามอินโดจีน?

ระหว่างปี 1964 – 1973 ซึ่งเป็นช่วงสงครามเวียดนาม ลาวกลายเป็นสมรภูมิสำคัญโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังและอาวุธของฝ่ายคอมมิวนิสต์จากเวียดนามเหนือไปยังเวียดนามใต้ผ่านทาง “เส้นทางโฮจิมินห์” ที่พาดผ่านลาว สหรัฐฯ ซึ่งสนับสนุนเวียดนามใต้และต่อต้านคอมมิวนิสต์ จึงพยายามตัดเส้นทางนี้โดย ทิ้งระเบิดอย่างหนักใส่ลาว รวมถึงโจมตีพื้นที่ที่กลุ่มคอมมิวนิสต์ลาว (พรรคปะเทดลาว) ใช้เป็นฐานที่มั่น ผลคือ ลาวกลายเป็น ประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลกต่อหัวประชากร ผลกระทบของระเบิดในปัจจุบัน แม้ว่าสงครามจะจบไปนานแล้ว แต่มีระเบิดที่ ยังไม่ระเบิด (UXO – Unexploded Ordnance) ตกค้างในลาวเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวบ้านได้รับอันตรายจากการเหยียบหรือไปโดนระเบิดเหล่านี้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ และเกษตรกรที่ทำไร่ทำนา ทำไมรัฐบาลทรัมป์ถึงตัดงบช่วยเหลือ? ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้ช่วยเหลืองบประมาณเพื่อเก็บกู้ระเบิดในลาว แต่ในสมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีการปรับลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศ รวมถึงโครงการเก็บกู้ระเบิดในลาว ส่งผลให้ชาวลาวต้องเผชิญกับภัยจากระเบิดที่เหลืออยู่ต่อไป สรุปที่ผ่านมา ▪️สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดในลาวเพื่อทำลายเส้นทางโฮจิมินห์ และโจมตีฝ่ายคอมมิวนิสต์ ▪️ลาวกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลกต่อหัวประชากร ▪️ระเบิดที่ยังไม่ระเบิด (UXO) ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้ชาวลาวเสี่ยงชีวิตจากการใช้งานพื้นที่เกษตร ▪️ล่าสุด รัฐบาลทรัมป์ตัดงบช่วยกู้ระเบิด ทำให้ปัญหายังคงอยู่และเป็นภัยต่อคนลาวจนถึงปัจจุบัน นี่เป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจากสงคราม […]

อ่านต่อ