3 ปี พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 “ปฏิรูปตำรวจ” ล้มเหลวซ้ำซาก หรือแค่ “ละครน้ำเน่า” ที่ผู้มีอำนาจไม่เคยคิดจะเปลี่ยน

ท่ามกลางข่าวอื้อฉาวเรื่อง “ทุนสีเทา” และ “ส่วย” ที่สะเทือนวงการสีกากีอีกครั้ง คำถามเก่าๆ ที่ดังกระหึ่มในสังคมไทยก็ย้อนกลับมา: เมื่อไหร่จะ “ปฏิรูปตำรวจ” ได้สำเร็จ? แม้เราจะมี พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นกฎหมายปฏิรูป แต่เหตุใด 3 ปีที่ผ่านมา ปัญหา “ระบบตั๋ว” และ “การซื้อขายตำแหน่ง” จึงยังคงอยู่ และประชาชนยังคงรู้สึกว่าตำรวจไม่ใช่ที่พึ่ง บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกตั้งแต่จุดเริ่มต้นของคำว่า “ปฏิรูป” ไปจนถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อค้นหาว่ามันล้มเหลวเพราะเหตุใด หรือแท้จริงแล้ว มันเป็นเพียง “วลีสวยหรู” ที่ผู้มีอำนาจไม่เคยต้องการให้เกิดขึ้นจริง

จุดเริ่มต้นของ “การปฏิรูป” ที่ถูกบังคับโดยกฎหมาย คำว่า “ปฏิรูปตำรวจ” ถูกพูดถึงมานานหลายสิบปี แต่การผลักดันอย่างเป็นรูปธรรมและถูกบัญญัติเป็น “ภารกิจของรัฐ” เกิดขึ้นชัดเจนที่สุดหลังการรัฐประหาร 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ชูประเด็นนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักของการปฏิรูปประเทศ

หลักฐานเชิงกฎหมายที่สำคัญที่สุดคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม ที่ระบุชัดเจนว่าให้มีการปฏิรูปตำรวจ โดยเน้นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลให้ยึด “ระบบคุณธรรม” และการโอนย้ายภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของตำรวจ เพื่อลดภาระงาน

ทำไมต้องปฏิรูป? ปัญหาที่แท้จริงคืออะไร? ประชาชนไม่ได้เรียกร้องการปฏิรูปเพราะเกลียดชังตำรวจ แต่เพราะ “วิกฤตศรัทธา” ที่สะสมมายาวนาน งานวิจัยทางวิชาการหลายชิ้น (เช่น จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI) สรุปปัญหาหลักขององค์กรตำรวจไทยไว้ 3 ประการ:

  1. โครงสร้างรวมศูนย์อำนาจ (Centralization): สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่รวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง (ผบ.ตร.) ทำให้การบังคับบัญชาล่าช้า และถูกแทรกแซงจาก “อำนาจการเมือง” ได้ง่าย
  2. การบริหารงานบุคคล (HR) ที่ล้มเหลว: ปัญหา “ระบบตั๋ว” และ “ระบบอุปถัมภ์” มีอยู่จริง การแต่งตั้งโยกย้ายไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงาน (Merit System) แต่ขึ้นอยู่กับ “เส้นสาย” ทำให้นายตำรวจที่ดีหมดกำลังใจ ส่วนผู้ที่ “ซื้อตำแหน่ง” มา ก็ต้องไป “ถอนทุน” คืนจากประชาชน (เช่น การรับส่วย, บ่อน, ธุรกิจสีเทา)
  3. งานสอบสวนขาดความเป็นอิสระ (Lack of Independent Investigation): พนักงานสอบสวนควรเป็น “ต้นธารของกระบวนการยุติธรรม” แต่กลับถูกแทรกแซงโดยผู้บังคับบัญชา ทำให้การ “เป่าคดี” หรือ “ทำสำนวนอ่อน” เกิดขึ้นได้ง่าย

พัฒนาการ (หรือการถอยหลัง) สู่ พ.ร.บ. 2565 แม้รัฐธรรมนูญ 2560 จะสั่งให้ปฏิรูป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในยุค คสช. กลับสวนทาง หนึ่งในหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 7/2559 ซึ่งเป็นการ ยกเลิก “แท่งพนักงานสอบสวน” (ตำแหน่งที่เปิดโอกาสให้พนักงานสอบสวนเติบโตในสายงานของตนเองได้) ผลคือ พนักงานสอบสวนต้องกลับไปอยู่ใต้อาณัติของผู้บังคับบัญชาสายปกติ ทำให้ความเป็นอิสระในการทำคดีถูกทำลายลง

จนกระทั่งเกิดแรงกดดันมหาศาลจากสังคม จึงมีการผลักดันจนเกิดเป็น พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อ 3 ปีก่อน กฎหมายนี้พยายามแก้ไขปัญหา HR โดยการกำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้ายให้ชัดเจนขึ้น (เช่น การนับอาวุโส) และตั้งคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.)

ทำไมการปฏิรูปถึงไม่สำเร็จ (ณ ปัจจุบัน 2568) 3 ปีหลังบังคับใช้ พ.ร.บ. 2565 ข่าวฉาวเรื่องการซื้อขายตำแหน่งและทุนสีเทาที่กำลังอภิปรายใน กมธ. ตำรวจ คือคำตอบที่ชัดเจนว่าการปฏิรูป “ยังไม่สำเร็จ” เพราะเหตุใด?

  1. ผู้มีอำนาจไม่ได้ต้องการปฏิรูปจริง: นี่คือข้อสรุปที่เจ็บปวดที่สุด การปฏิรูปเป็นเพียง “วลีสวยหรู” เพราะโครงสร้างตำรวจที่รวมศูนย์และระบบอุปถัมภ์ คือ “เครื่องมือ” ที่ทรงพลังของฝ่ายการเมืองและผู้มีอำนาจในการควบคุมกลไกรัฐ ค้ำจุนอำนาจ และจัดการฝ่ายตรงข้าม การปฏิรูปที่แท้จริง (เช่น การกระจายอำนาจ) คือการ “ทุบหม้อข้าว” และทำลายเครื่องมือของตนเอง
  2. กฎหมายใหม่ (พ.ร.บ. 2565) แก้ไม่ตรงจุด: แม้จะวางหลักเกณฑ์ HR ใหม่ แต่ “อำนาจแทรกแซง” ยังคงอยู่ผ่านคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ฝ่ายการเมือง (นายกรัฐมนตรี) ยังคงมีอิทธิพลสูงในการแต่งตั้ง ผบ.ตร. และผู้บริหารระดับสูง
  3. งานสอบสวนยังไม่เป็นอิสระ: พ.ร.บ. 2565 ไม่ได้รื้อฟื้น “แท่งพนักงานสอบสวน” กลับมาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ปัญหาการแทรกแซงคดียังคงอยู่

ประชาชนเสียประโยชน์อย่างไร? เมื่อ “ต้นทางของกระบวนการยุติธรรม” เน่าเสีย ประชาชนคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง:

  • ความอยุติธรรม 2 มาตรฐาน: คนรวย คนมีอำนาจ หลุดคดีได้ง่าย (เช่น คดีขับรถชน, คดีทุนสีเทา) ในขณะที่คนจนถูกดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว
  • ชีวิตที่ไม่ปลอดภัย: เมื่อตำรวจต้องมุ่งรับใช้ “นาย” หรือ “ถอนทุน” มากกว่ารับใช้ประชาชน การป้องกันอาชญากรรมจึงล้มเหลว (เช่น ปัญหาเว็บพนัน, ยาเสพติด, แก๊งคอลเซ็นเตอร์)
  • สูญเสียความเชื่อมั่น: ประชาชนไม่กล้าแจ้งความเพราะกลัวคดีไม่คืบหน้า หรือไม่เชื่อมั่นว่าตำรวจจะให้ความเป็นธรรม (ดังที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตตำรวจและนักวิชาการ เคยวิจารณ์ว่ามีการ “สอบปากคำ ทำเหมือนจริง เอาไปทิ้งภายหลัง” เพื่อลดสถิติคดี)

บทสรุป (พ.ย. 2568) การปฏิรูปตำรวจที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนกฎหมาย หรือเปลี่ยนตัว ผบ.ตร. แต่คือการ “ผ่าตัดโครงสร้างอำนาจ” ต้องมีการ กระจายอำนาจ (Decentralization) ให้ตำรวจจังหวัดขึ้นตรงกับประชาชนในพื้นที่ (อาจผ่านผู้ว่าฯ หรือการเลือกตั้ง) และต้อง แยกงานสอบสวน ออกจากสายงานบังคับบัญชาปกติอย่างเด็ดขาด

ตราบใดที่ผู้มีอำนาจยังมองว่า สตช. คือ “กองทัพ” หรือ “เครื่องมือ” มากกว่า “ผู้รับใช้ประชาชน” คำว่า “ปฏิรูปตำรวจ” ก็จะเป็นเพียงละครน้ำเน่าที่เล่นซ้ำไปซ้ำมาบนความทุกข์ของประชาชนต่อไป.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

สั่งสินค้าได้ที่นี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *