แม้การเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 จะแสดงให้เห็นปรากฏการณ์ “กระสุนแพ้กระแส” (การใช้เงินแพ้อุดมการณ์) ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะชัยชนะของพรรคก้าวไกล (ปัจจุบันคือพรรคประชาชน) แต่ในการเลือกตั้งท้องถิ่น (อบจ., เทศบาล) หรือในพื้นที่ชนบทที่มีระบบบ้านใหญ่เข้มแข็ง “การซื้อเสียง” ยังคงเป็นปัจจัยชี้ขาด

ความลับที่ไม่มีใครอยากพูดถึง ประเทศไทยเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยมาเกือบศตวรรษ แต่ “การซื้อสิทธิขายเสียง” (Vote Buying) ยังคงเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินรากฐานของประเทศ แม้ผลการเลือกตั้งระดับชาติครั้งล่าสุดจะชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ในระดับรากหญ้าและท้องถิ่น วลีที่ว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น” ยังคงดังก้องอยู่ ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า สังคมไทยอาจยัง “ไม่พร้อม” ที่จะก้าวข้ามระบบอุปถัมภ์ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนจริงหรือไม่?
สังคมเมือง vs ชนบท: ทำไม “รับเงินหมา กาพรรคอื่น” จึงเกิดขึ้นได้จริง? ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในยุคปัจจุบันคือ พฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในเขตเมืองและเขตอุตสาหกรรม
- ความเป็นปัจเจกในเมือง: สังคมเมืองมีความเป็นนิรนาม (Anonymity) สูง ผู้ลงคะแนนไม่ต้องเกรงใจหัวคะแนนเหมือนในชนบทที่ทุกคนรู้จักกันหมด ทำให้สามารถรับเงินแต่เลือกตามอุดมการณ์ได้
- ระบบอุปถัมภ์ที่เจือจาง: คนเมืองพึ่งพานักการเมืองน้อยกว่าในเรื่องปัจจัยพื้นฐาน (เช่น ถนน ไฟฟ้า ที่มักจะดีอยู่แล้ว) ทำให้ “บุญคุณ” มีผลน้อยกว่า “นโยบาย”
- ในทางตรงกันข้าม: ในชนบท ระบบเครือญาติและ “หัวคะแนน” ที่เป็นผู้นำชุมชน ยังคงมีอิทธิพลสูง การไม่เลือกตามที่รับเงินมา อาจหมายถึงการถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือในชุมชน
วัฏจักรแห่งความชั่วร้าย: เมื่อผู้แทนมาจากเงิน เขาจะหาเงินคืนจากใคร? การยอมรับเงินเพียง 500-3,000 บาท แลกกับวาระ 4 ปี เป็นสมการที่ขาดทุนย่อยยับ เพราะนักการเมืองที่ลงทุนซื้อเสียง ย่อมต้อง “ถอนทุนคืน” (Return on Investment)
- การทุจริตเชิงนโยบาย: การอนุมัติโครงการก่อสร้างที่เอื้อประโยชน์พวกพ้อง หรือการกินเปอร์เซ็นต์งบประมาณ
- การละเลยปัญหาประชาชน: เมื่อเขาเชื่อว่า “ซื้อคุณมาแล้ว” เขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องทำงานรับใช้คุณ เขาทำงานรับใช้นายทุนที่ให้เงินมาซื้อเสียง
- หลักฐาน: ดูได้จากการจัดสรรงบประมาณที่มักลงในพื้นที่ของ “บ้านใหญ่” หรือผู้มีอิทธิพล มากกว่าพื้นที่ที่ต้องการการพัฒนาจริงๆ
กฎหมายที่เป็นเพียงเสือกระดาษ? ตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 ระบุห้ามมิให้ผู้ใดเสนอให้ สัญญาว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้
- บทลงโทษ: จำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000 – 200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
- ความจริงที่เจ็บปวด: คดีที่ไปถึงศาลและมีการลงโทษจริงมีน้อยมาก เนื่องจาก “พยานหลักฐาน” หายาก (ไม่มีใครออกใบเสร็จรับเงิน) และระบบการกันพยานไม่เข้มแข็งพอ ผู้แจ้งเบาะแสกลัวอิทธิพลมืด ทำให้ กกต. มักยกคำร้องด้วยเหตุผลว่า “หลักฐานไม่เพียงพอ”
ใครต้องรับผิดชอบ? เราไม่สามารถโทษเพียง “นักการเมือง” แต่ต้องมองที่ “ผู้ขาย” ด้วย ตราบใดที่ประชาชนยังมองว่าการเลือกตั้งคือเทศกาลรับเงิน และมองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่าง “กากบาท” กับ “คุณภาพชีวิต” วงจรอุบาทว์นี้ก็ไม่มีวันจบ
บทสรุป การแก้ปัญหาซื้อเสียงไม่ใช่แค่หน้าที่ของ กกต. แต่คือการ “ยกระดับเศรษฐกิจ” ให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ และ “ปฏิรูปการศึกษา” ให้ตระหนักถึงสิทธิ หากเรายังยอมรับเศษเงินแลกกับอำนาจอธิปไตย เราก็ต้องยอมรับสภาพประเทศที่ด้อยพัฒนาต่อไป เพราะของถูกและดี ไม่มีในโลกการเมือง.

อ่านข่าวอื่น ๆ :
- ยอมรับการซื้อเสียง สังคมไทยยังไม่พร้อมพัฒนา: เมื่อ ‘เงิน’ ซื้อ ‘อนาคต’ และกฎหมายที่ไร้เขี้ยว
- เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 500 ล้านบาท สร้างปรากฎการณ์ Entertainment Countdown ทั่วประเทศ ดีที่สุดตลอดกาล เซ็นทรัลเวิลด์ Times Square of Asia
- เจาะลึกขบวนการ ‘สกัดขา’ และผู้ชนะบนกระดานอำนาจสีกากี
- วิกฤตงบประมาณไทยลีก 3 สัญญาณเตือน “ฟองสบู่บอลไทย” กำลังแตก หรือแค่การปรับฐานเพื่อความอยู่รอด?
- BFB พัทยา ซิตี้ แยกทาง 10 แข้งหลัก ยอมรับมีปัญหาเรื่องเงินทำทีม

