คนละครึ่งพลัส บุก Delivery: ศึกชิง ‘เส้นเงินหมื่นล้าน’ บนแพลตฟอร์ม ใครคือผู้ชนะตัวจริง และรัฐบาลบรรลุเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่?

โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 ได้สร้างปรากฏการณ์กระตุ้นการบริโภคในประเทศอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลัง ชี้ว่า ยอดใช้จ่ายสะสมได้ทะลุ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 วันแรกของการใช้สิทธิ [อ้างอิง: มติชน, 3 พ.ย. 2568] ตัวเลขนี้เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในการอัดฉีดกำลังซื้อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 คือการเปิดให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิคนละครึ่งพลัสผ่าน แพลตฟอร์ม Food Delivery ที่ร่วมโครงการ ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตของโครงการสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มตัว บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงวิธีการทำงาน ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง และการบรรลุเป้าหมายของเส้นเงินที่ไหลเข้าสู่ระบบ

กลไกการเชื่อมต่อ: จาก G-Wallet สู่ Rider

การเชื่อมโยงโครงการคนละครึ่งพลัสเข้ากับ Food Delivery มีความซับซ้อนกว่าการซื้อหน้าร้าน โดยมีกลไกสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ:

  1. การผูกระบบของร้านค้า: ร้านค้าจะต้องเป็นร้านอาหารหรือเครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว และสามารถเลือกผูกกับแพลตฟอร์ม Food Delivery ที่รัฐบาลกำหนดได้ เพียง 1 แพลตฟอร์ม ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” [อ้างอิง: GCC Thailand, ต.ค. 2568]
  2. การแยกชำระ (Split Payment): ผู้บริโภคจะต้องดำเนินการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เข้าสู่แพลตฟอร์ม Food Delivery ที่เลือก เมื่อสั่งซื้อสำเร็จ จะมีการชำระเงิน 2 ส่วน คือ
    • ส่วนที่ 1: ค่าจัดส่ง (Delivery Fee): ประชาชนต้องชำระเองเต็มจำนวน ผ่านช่องทางของแพลตฟอร์มเดลิเวอรี (เช่น บัตรเครดิต, E-Wallet)
    • ส่วนที่ 2: ค่าอาหารและเครื่องดื่ม: ชำระผ่าน G-Wallet ในแอปฯ เป๋าตัง โดยที่รัฐบาลอุดหนุน 50% ของราคา และผู้บริโภคจ่ายอีก 50%

กลไกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ ป้องกันการทุจริต และเพื่อให้แน่ใจว่าเงินอุดหนุนของรัฐบาลจะไปสู่ ค่าอาหาร โดยตรง ไม่ใช่ค่าบริการขนส่ง

ใครคือผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก “Food Delivery”

การเปิดช่องทาง Food Delivery ได้สร้างกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์ที่ชัดเจน:

  • กลุ่มที่ 1: แพลตฟอร์ม Food Delivery: ถือเป็นผู้ชนะในมิติของ “ปริมาณการใช้งาน” โดยตรง แพลตฟอร์มจะได้รับรายได้จาก ค่าจัดส่ง ที่ผู้บริโภคเป็นผู้รับผิดชอบเต็มจำนวน รวมถึงค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์ม (GP) จากร้านค้าในส่วนที่รัฐบาลอุดหนุน การเพิ่มปริมาณคำสั่งซื้อจะช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถ เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ ที่ก่อนหน้านี้อาจไม่เคยใช้บริการ [วิเคราะห์เชิงลึก: การเชื่อมโยงนี้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและอำนาจตลาดให้กับกลุ่มผู้ให้บริการเดลิเวอรีรายใหญ่]
  • กลุ่มที่ 2: ร้านอาหารรายย่อยนอกศูนย์การค้า: ร้านค้าเหล่านี้จะสามารถ ขยายตลาด ออกจากรัศมีหน้าร้านแบบดั้งเดิมเข้าสู่ตลาดออนไลน์ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดทุนจากค่า GP ที่สูงเกินไปในส่วนของค่าอาหาร [อ้างอิง: การจำกัดให้ร้านค้าผูกกับ 1 แพลตฟอร์ม ช่วยลดความสับสนของร้านค้า]
  • กลุ่มที่ 3: ไรเดอร์ (Rider): การเพิ่มปริมาณคำสั่งซื้อย่อมหมายถึง โอกาสในการรับงานและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ของคนขับ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจโดยตรง [วิเคราะห์เชิงสังคม: เป็นการกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจภาคแรงงานขนส่ง]

เส้นเงินกระตุ้นเฉพาะกิจบรรลุเป้าหมายหรือไม่?

รัฐบาลมีเป้าหมายหลักในการใช้โครงการคนละครึ่งพลัส เพื่อ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 

  • การเร่งตัวของเงิน: ยอดใช้จ่ายที่พุ่งสูงถึง 10,000 ล้านบาทใน 5 วัน (2,000 ล้านบาทต่อวันโดยเฉลี่ย) สะท้อนว่าโครงการสามารถ เร่งการหมุนเวียนเงิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่ม Food Delivery เข้ามาจะช่วยเร่งตัวเลขนี้ให้สูงขึ้นไปอีก เพราะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปใช้จ่ายหน้าร้านได้
  • การกระจายตัวของเงิน: การใช้จ่ายผ่าน Food Delivery ช่วยขยายเส้นเงินสู่ “ห่วงโซ่อุปทานการบริโภคยุคใหม่” จากเดิมที่เงินจะไหลจากผู้บริโภคสู่ร้านค้าเท่านั้น การเพิ่มเดลิเวอรีทำให้เงินไหลสู่ ระบบโลจิสติกส์ระยะสั้น ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การกระตุ้นเศรษฐกิจให้ครอบคลุมและทั่วถึง
  • ความท้าทายด้านความโปร่งใส: แม้การแยกชำระจะช่วยลดความเสี่ยง แต่รัฐบาลยังต้องเฝ้าระวังการทุจริตในรูปแบบอื่น เช่น การจ้างไรเดอร์ให้สั่งสินค้าเพื่อแลกเป็นเงินสด การระงับสิทธิร้านค้าทุจริตกว่า 55 รายในช่วงต้นโครงการ [อ้างอิง: การเงินธนาคาร, 1 พ.ย. 2568] ชี้ให้เห็นว่าการกำกับดูแลยังคงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด

การเชื่อมต่อ Food Delivery กับโครงการคนละครึ่งพลัสถือเป็น การปรับตัวที่ชาญฉลาดของมาตรการรัฐ เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมการบริโภคของคนยุคใหม่ ซึ่งไม่เพียงแต่เร่งยอดใช้จ่ายให้พุ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยกระจายผลประโยชน์ไปยังกลุ่มผู้ประกอบการและแรงงานในห่วงโซ่เดลิเวอรีได้อย่างชัดเจน ทำให้เชื่อได้ว่า เส้นเงินนี้จะสามารถบรรลุเป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะกิจได้อย่างแท้จริง ก่อนสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 ธันวาคม 2568.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

สั่งสินค้าได้เลยที่นี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *