“กัน จอมพลัง” ใช้เงินส่วนตัวโอนคืน “ณัวฒน์” แทนมูลนิธิฯ มีความเสี่ยงอย่างไร?

การที่ “กัน จอมพลัง” ใช้เงินส่วนตัว โอนคืนผู้บริจาค (ณวัฒน์) แทนมูลนิธิกัน จอมพลังช่วยสู้ เพราะคนบริจาคต้องการเงินคืน เหตุผลมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงสร้างมูลนิธิ “กัน จอมพลัง ช่วยสู้” คำถามคือ กัน จอมพลัง ทำถูกต้องไหม? มีความเสี่ยงทางกฎหมายอย่างไร? หากเกิดข้อสงสัยว่า กัน ทำไมต้องใช้เงินแทนมูลนิธิฯ หรือเอาเงินมาจากไหน?

เป็นประเด็นที่ ละเอียดอ่อนในทางกฎหมายและภาพลักษณ์ขององค์กรการกุศล เพราะการที่ “กัน จอมพลัง” ใช้ เงินส่วนตัว โอนคืนแทนมูลนิธิฯ มีทั้ง สิ่งที่ถูกต้องบางส่วน และ ความเสี่ยงบางประการ ซึ่งต้องแยกให้ชัดเจน ดังนี้

1.หลักการทางกฎหมายพื้นฐาน

มูลนิธิ เป็น นิติบุคคลแยกจากบุคคลธรรมดา อ้างอิงตาม มาตรา 110 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)

“มูลนิธิเป็นนิติบุคคล จัดตั้งขึ้นเพื่อการกุศล ศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ การศึกษา หรือประโยชน์สาธารณะอื่น โดยไม่มุ่งหากำไรมาแบ่งปันกัน”

ดังนั้น:

  • มูลนิธิมี “ทรัพย์สินของตนเอง”
  • บุคคลธรรมดา (เช่น กัน จอมพลัง) ไม่มีสิทธิ์ใช้หรือจัดการแทนได้ เว้นแต่เป็นกรรมการและทำตามระเบียบ/อำนาจในข้อบังคับของมูลนิธิ
  • การรับเงินหรือคืนเงินบริจาค ควรทำผ่าน “บัญชีมูลนิธิ” เท่านั้น

2.การคืนเงินบริจาคโดยใช้ “เงินส่วนตัว” ของกัน จอมพลัง

✅ ด้านที่ ถูกต้อง/เหมาะสมชั่วคราว

หาก กัน จอมพลัง:

  • ตั้งใจคืนให้ผู้บริจาคโดยสุจริต เพื่อป้องกันปัญหาความเชื่อมั่น
  • ไม่ได้เบิกจากบัญชีมูลนิธิ หรือใช้เงินมูลนิธิผิดวัตถุประสงค์
  • คืนเงินตามยอดจริงที่ผู้บริจาคต้องการคืน

ในมุมจริยธรรมและภาพลักษณ์สาธารณะ ถือว่าเป็นการ “แก้ไขเฉพาะหน้า” ที่พอเข้าใจได้

แต่ในทางกฎหมายและการตรวจสอบบัญชี มี “ความเสี่ยง” ดังนี้

ประเด็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
1. ใช้เงินส่วนตัวแทนมูลนิธิหากไม่ได้ทำเป็นมติกรรมการมูลนิธิ หรือไม่มีหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการ → อาจถูกมองว่า มูลนิธิไม่มีอำนาจสั่งคืนเงิน และกันอาจ “แทรกแซงการเงินมูลนิธิ” โดยพฤติการณ์
2. ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเงินส่วนตัวจริงหากตรวจสอบภายหลังแล้วไม่พบที่มาของเงิน หรือเงินมีเส้นทางเกี่ยวข้องกับเงินบริจาค → อาจถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ใช้เงินบริจาคอ้อม”
3. การคืนเงินแทนมูลนิธิ โดยไม่มีบันทึกทางบัญชีมูลนิธิจะไม่สามารถแสดงบัญชีรายจ่ายที่ถูกต้องได้ และอาจถูกกรมการปกครองหรือสรรพากรสอบถามว่า มูลนิธิรู้เห็นหรืออนุมัติหรือไม่
4. ความเสี่ยงทางอาญา (หากมีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์)หากตรวจสอบพบว่าเงินที่อ้างว่าเป็น “ส่วนตัว” แท้จริงมาจากเงินบริจาค → เข้าข่าย “ยักยอกทรัพย์ของมูลนิธิ” หรือ “ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์” (อาจเข้ามาตรา 352 ประมวลกฎหมายอาญา)
5. ความเสี่ยงทางภาษีการคืนเงินบริจาคโดยไม่มีเอกสารทางบัญชี อาจกระทบต่อสิทธิการลดหย่อนภาษีของผู้บริจาค และความโปร่งใสของมูลนิธิในรายงานการเงิน

3.แนวทางที่ควรทำให้ถูกต้อง

หากมูลนิธิต้องการคืนเงินบริจาคอย่างถูกกฎหมาย ควรดำเนินการดังนี้:

  1. ให้กรรมการมูลนิธิประชุมและทำ “มติกรรมการ” ว่าจะคืนเงินให้ผู้บริจาคด้วยเหตุผลใด (เช่น มีข้อสงสัยเรื่องโครงสร้าง, เข้าใจผิด)
  2. คืนเงินจากบัญชีมูลนิธิเท่านั้น พร้อมเอกสารหลักฐานการโอน
  3. หากกัน จอมพลัง ต้องการใช้เงินส่วนตัวจริง → ให้ทำ หนังสือระบุชัดว่าเป็นการ “ออกเงินส่วนตัวแทน” และ ขอรับคืนจากมูลนิธิภายหลัง (ถ้าจะเบิก) หรือไม่ขอเบิกเลย (บริจาคแทนมูลนิธิ)
  4. บันทึกบัญชีให้ครบทั้งฝั่งมูลนิธิและฝั่งกัน จอมพลัง
ประเด็นสถานะ
การใช้เงินส่วนตัวคืนแทนมูลนิธิ✅ ทำได้ หากมีเจตนาสุจริต แต่ต้องมีหลักฐานชัด
ความถูกต้องทางบัญชีมูลนิธิ⚠️ เสี่ยง หากไม่ทำมติกรรมการและไม่มีเอกสารรองรับ
ความเสี่ยงทางกฎหมาย⚠️ มี หากเงินมาจากแหล่งไม่โปร่งใส หรือไม่บันทึกบัญชี
แนวทางแก้ไขควรให้มูลนิธิออกเอกสารรับรอง และบันทึกบัญชีชัดเจน

เมื่อกัน จอมพลัง ได้โอนเงินส่วนตัวคืนผู้บริจาคกลับไปแล้ว แต่ผู้บริจาคไม่ประสงค์รับเงินส่วนตัว แต่ขอเงินจากมูลนิธิ เพราะเหตุผล ไม่ต้องการบริจาคให้มูลนิธิแล้ว ควรจะทำอย่างไร? สิทธิของผู้บริจาค สามารถดำเนินการทางกฎหมายได้อย่างไรบ้าง?

คำถามนี้ถือว่าเป็น “จุดหัวใจของข้อพิพาทระหว่างผู้บริจาคกับมูลนิธิ” ครับ 💡
เพราะสถานการณ์ที่ถูกถามนั้น - เป็นกรณีที่ มูลนิธิยังถือเงินบริจาคไว้ (ตามกฎหมาย) แต่ ผู้บริจาคเปลี่ยนใจไม่ต้องการบริจาคแล้ว ซึ่งมีหลักทางกฎหมายชัดเจนว่า สิทธิเรียกคืนจะเกิดขึ้นได้เฉพาะบางกรณีเท่านั้น

เราจะอธิบายให้เป็นขั้นตอน พร้อมแนวทางปฏิบัติและสิทธิทางกฎหมาย

1.หลักกฎหมาย “การให้โดยเสน่หา” (การบริจาค)

ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525–526

“ถ้าการให้มีเงื่อนไข และเงื่อนไขนั้นไม่เป็นไปตามที่กำหนด ผู้ให้เรียกคืนได้”

“แต่ถ้าเป็นการให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว (มอบเงินและผู้รับรับไปแล้ว) ผู้ให้ไม่มีสิทธิเรียกคืน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ถูกฉ้อโกง ถูกข่มขู่ หรือเป็นการเข้าใจผิดอย่างสำคัญ”

ดังนั้น เมื่อมูลนิธิรับเงินบริจาคแล้ว
เงินนั้นถือว่าเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิทันที
ผู้บริจาคไม่มีสิทธิเรียกคืนได้เพียงเพราะ “เปลี่ยนใจ”

แต่ “สิทธิเรียกคืน” จะเกิดขึ้นได้ใน 3 กรณีสำคัญเท่านั้น

เงื่อนไขที่กฎหมายยอมให้ขอคืนได้ตัวอย่างสถานการณ์สิทธิของผู้บริจาค
1. บริจาคโดยมีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจง และเงื่อนไขนั้นไม่สำเร็จบริจาคเพื่อช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม แต่ไม่ได้นำไปใช้ในโครงการดังกล่าว✅ เรียกคืนได้ตาม ม.525
2. มีการบริจาคโดย “เข้าใจผิดอย่างสำคัญ” หรือ “ถูกหลอกลวง”ผู้บริจาคเข้าใจว่ามูลนิธินี้อยู่ภายใต้บุคคลหนึ่ง แต่จริง ๆ ไม่ใช่ หรือโครงสร้างไม่ชัดเจน✅ ฟ้องเพิกถอนการให้ตาม ม.526
3. มูลนิธิใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ใช้เงินบริจาคเพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ✅ ร้องเรียนกรมการปกครอง และฟ้องให้คืนเงินได้

3.กรณีนี้ – เมื่อกัน จอมพลัง โอนเงินส่วนตัวคืนแล้ว แต่ผู้บริจาค “ไม่รับ”

หากมูลนิธิยังคงถือเงินบริจาคไว้อยู่จริง (ไม่ใช่กัน จอมพลังเป็นคนถือเอง)
👉 ผู้บริจาค ไม่มีสิทธิเรียกคืนโดยอัตโนมัติ เพราะเงินกลายเป็นของมูลนิธิแล้ว

แต่สามารถ ใช้สิทธิทางกฎหมาย 3 ทางนี้ได้

ทางที่ 1: ยื่น “หนังสือขอถอนการบริจาค” ต่อมูลนิธิอย่างเป็นทางการ

เพื่อระบุเหตุผลว่า

  • เข้าใจผิดเกี่ยวกับโครงสร้างมูลนิธิ
  • ไม่มั่นใจในความโปร่งใส
  • ไม่ต้องการให้เงินถูกนำไปใช้

👉 มูลนิธิจะพิจารณาคืนได้ ตามดุลพินิจของคณะกรรมการมูลนิธิ
(หากเห็นว่าเหตุผลมีมูล หรือเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของมูลนิธิ)

ทางที่ 2: ร้องเรียนต่อ “กรมการปกครอง” (ผู้กำกับมูลนิธิ)

เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า มูลนิธิใช้เงินถูกต้องหรือไม่
หากกรมฯ เห็นว่ามูลนิธิมีการดำเนินการไม่โปร่งใส หรือวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจน
👉 กรมการปกครองสามารถ “สั่งให้มูลนิธิคืนเงิน” หรือ “ระงับการใช้เงินบริจาค” ได้

ช่องทาง: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดตั้งมูลนิธิ กรมการปกครอง
โทร. 02-222-2811 เว็บไซต์: https://www.dopa.go.th

ทางที่ 3: ฟ้องศาลแพ่ง เพื่อขอ “เพิกถอนการให้โดยเสน่หา”

หากผู้บริจาคมีหลักฐานว่า

  • ถูกชักจูงให้บริจาคโดยเข้าใจผิด
  • มูลนิธิไม่ได้ดำเนินการตามที่ประกาศไว้ตอนรับบริจาค

👉 สามารถยื่นฟ้องศาลแพ่ง เพื่อขอให้ “เพิกถอนการให้” และให้มูลนิธิคืนเงินได้ตาม มาตรา 526

แต่ต้องพิสูจน์ได้จริงว่าเป็น “ความเข้าใจผิดอย่างสำคัญ” หรือ “การหลอกลวง”

4.ความเสี่ยงของมูลนิธิในกรณีนี้

หากมูลนิธิไม่คืนเงิน และไม่มีการชี้แจงโปร่งใส อาจถูกมองว่า:

  • ใช้เงินไม่ตรงวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค
  • ไม่มีระบบบัญชีโปร่งใส
  • อาจถูกกรมการปกครอง “สั่งตรวจสอบพิเศษ” หรือ “พักใบอนุญาต”
ประเด็นสถานะทางกฎหมาย
ผู้บริจาค “เปลี่ยนใจเฉย ๆ”❌ ไม่มีสิทธิเรียกคืน
ผู้บริจาค “เข้าใจผิดหรือถูกหลอกลวง”✅ มีสิทธิขอคืน หรือฟ้องเพิกถอนการบริจาค
มูลนิธิ “ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์”✅ ผู้บริจาคร้องเรียนกรมการปกครองได้
กัน จอมพลัง “คืนด้วยเงินส่วนตัว”✅ ทำได้ แต่ไม่แทนมูลนิธิในทางกฎหมาย เว้นแต่มีมติกรรมการ
แนวทางที่ดีที่สุด📝 ให้มูลนิธิออกเอกสารชี้แจง และพิจารณาคืนเงินตามขั้นตอนทางราชการ

⚖️ สรุปภาพรวม “ความเสี่ยงทางกฎหมายของกัน จอมพลัง”

หมวดความเสี่ยงประเด็นรายละเอียดทางกฎหมาย / ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
🧾 1. ความเสี่ยงด้านบัญชีและการบริหารมูลนิธิโอนเงินส่วนตัวคืนผู้บริจาคแทนมูลนิธิ❌ มูลนิธิเป็นนิติบุคคลแยกจากกัน จอมพลัง การคืนเงินควรทำโดยมติกรรมการ และจากบัญชีมูลนิธิเท่านั้น ➜ การใช้เงินส่วนตัวคืน อาจถูกมองว่า “กันบริหารแทนมูลนิธิโดยไม่มีอำนาจ” ➜ ถ้ามีการตรวจสอบบัญชีและพบว่าไม่มีหลักฐานมติ อาจเข้าข่าย “การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิโดยมิชอบ”
⚖️ 2. ความเสี่ยงทางอาญา (หากเงินมูลนิธิไม่โปร่งใส)หากมีการใช้เงินบริจาคผิดวัตถุประสงค์ หรือเงินที่อ้างว่าเป็น “ส่วนตัว” มาจากเงินบริจาค🧨 เข้าข่าย “ยักยอกทรัพย์” ตาม มาตรา 352 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือ “ฉ้อโกงประชาชน” หากมีการเชิญชวนให้บริจาคโดยให้ข้อมูลไม่ตรงจริง (มาตรา 343) ➜ โทษจำคุกสูงสุด 5–10 ปี หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาแสวงหาประโยชน์
💬 3. ความเสี่ยงทางภาพลักษณ์และศรัทธาสาธารณะผู้บริจาคตั้งข้อสงสัยเรื่องโครงสร้างและการใช้เงินแม้กันจะคืนเงินด้วยเจตนาดี แต่สังคมอาจมองว่า “ทำไมต้องใช้เงินส่วนตัวคืน” หรือ “เงินมาจากไหน” ➜ ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของทั้งตัวบุคคลและมูลนิธิในระยะยาว
🧑‍⚖️ 4. ความเสี่ยงทางปกครองหากกรมการปกครองตรวจสอบแล้วพบว่ามูลนิธิไม่มีการดำเนินงานตามระเบียบกรมการปกครองสามารถ – สั่ง “ตรวจสอบพิเศษ” – “พักการดำเนินการของมูลนิธิ” – หรือแม้แต่ “เพิกถอนทะเบียนมูลนิธิ” ได้ตาม มาตรา 1337 ป.พ.พ.
💰 5. ความเสี่ยงด้านภาษีหากมีการรับ-จ่ายเงินนอกบัญชีมูลนิธิสรรพากรสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าเงินเข้ามูลนิธิครบหรือไม่ ถ้าเงินส่วนตัวใช้จ่ายแทนโดยไม่มีหลักฐาน อาจตีความว่า “มีรายได้ส่วนบุคคลไม่ชอบด้วยกฎหมาย” หรือ “ใช้เงินบริจาคไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์”
📜 6. ความเสี่ยงด้านเอกสารและมติกรรมการไม่มีเอกสารรองรับการคืนเงิน หรือไม่มีมติกรรมการอาจถูกกล่าวหาว่า “ใช้อำนาจกรรมการโดยมิชอบ” หรือ “ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับมูลนิธิ” ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องแพ่งให้ “รับผิดชอบเป็นการส่วนตัว”

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *