ปีการศึกษา 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของระบบการศึกษาไทย เมื่อกระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มนำร่อง “หลักสูตรฐานสมรรถนะ พุทธศักราช 2568” ในสถานศึกษากว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อปลดล็อกเด็กไทยจาก “หลักสูตรล้าสมัย” (อิงหลักสูตรแกนกลาง 2551) ที่เน้นการท่องจำ ไปสู่การสร้างทักษะแห่งอนาคต อย่างไรก็ตาม เสียงสะท้อนจากหน้างานกลับเต็มไปด้วยความสับสน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ “พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ” ฉบับใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือน “กฎหมายแม่” ยังคงค้างคาอยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติ

บทวิเคราะห์ชิ้นนี้จาก TopicThailand จะเจาะลึกถึงความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ เปรียบเทียบช่องว่างระหว่าง “เจตนา” ของหลักสูตรใหม่ กับ “ความเป็นจริง” ในการนำไปใช้ และถอดบทเรียนจากประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างเอสโตเนียและฟินแลนด์ ว่าเหตุใดการปฏิรูปของพวกเขาจึงสร้าง “ทักษะ” ได้จริง ขณะที่ไทยกำลังเผชิญกับ “สุญญากาศ” เชิงนโยบาย
หลักสูตร 2568: ‘ซอฟต์แวร์’ ใหม่ใน ‘ฮาร์ดแวร์’ เก่า
หลักสูตร 2568 ที่เริ่มนำร่องในระดับปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) มีหัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนจาก “การเรียน 8 กลุ่มสาระ” ไปสู่ “การพัฒนาสมรรถนะหลัก 6 ด้าน” โดยในระดับ ป.1-3 จะเน้นหนักที่การอ่านออก เขียนได้ และการคิดคำนวณ (Literacy & Numeracy) เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนที่สะท้อนจากคะแนน PISA ที่ตกต่ำ
ฟังดูดี แต่ปัญหาคือการนำ "ซอฟต์แวร์" ใหม่นี้ไปติดตั้งบน "ฮาร์ดแวร์" (ระบบนิเวศการศึกษา) ที่ยังเป็นของเดิม
รายงานจาก The Active (Thai PBS) ชี้ให้เห็นถึงความลักลั่นครั้งใหญ่ เมื่อหลักสูตรใหม่ถูกผลักดันออกมา โดยที่ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทในการปฏิรูปโครงสร้างทั้งระบบ ยังไม่มีผลบังคับใช้ สถานการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่า การวัดผล การจัดสรรงบประมาณ และการพัฒนาครู จะอ้างอิงกับกฎหมายใด
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานจาก สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) ที่รวบรวมเสียงสะท้อนจากครูในโรงเรียนนำร่อง พบว่าครูส่วนใหญ่ยังคงสับสนอย่างหนักในทางปฏิบัติ พวกเขาต้องสอนตามแนวทาง “สมรรถนะ” แต่ยังคงใช้ตำราเรียนและแบบประเมินผลที่อิงตามหลักสูตร “เนื้อหา” ปี 2551 นี่คือวิกฤตการนำไปใช้ (Implementation Crisis) ที่กำลังบั่นทอนเจตนาที่ดีของหลักสูตรใหม่
ถอดบทเรียน ‘เอสโตเนีย’: เมื่อ STEM และ Coding คือยุทธศาสตร์ชาติ
เมื่อมองไปยังประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษาอย่าง เอสโตเนีย ซึ่งมีคะแนน PISA สูงสุดในยุโรป เราจะพบว่าการบูรณาการ STEM และ Coding ไม่ได้เกิดขึ้นแบบ “ตามกระแส”
ข้อมูลจาก Education Estonia ระบุว่า เอสโตเนียมองการศึกษาเป็นเครื่องมือสร้างชาติเศรษฐกิจดิจิทัล พวกเขาเริ่มโครงการ “Tiger Leap” ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตให้ทุกโรงเรียน และต่อยอดด้วยโครงการ “ProgeTiger” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง “วิชา” แต่เป็นการบูรณาการทักษะการคิดเชิงตรรกะ, วิศวกรรม และ ICT เข้าไปในทุกวิชาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
สิ่งที่ต่างจากไทยคือ เอสโตเนียสร้างระบบนิเวศทั้งหมดรองรับ (ยุทธศาสตร์ชาติ -> โครงสร้างพื้นฐาน -> หลักสูตร -> การพัฒนาครู) ทำให้การสอน Coding เป็นไปอย่างมีเป้าหมายและเป็นระบบ
บทเรียนจาก ‘ฟินแลนด์’: สร้าง Soft Skills ด้วย ‘ปรากฏการณ์’
ในขณะที่ ฟินแลนด์ โดดเด่นเรื่องการสร้าง Soft Skills หรือ “สมรรถนะ” ที่ไทยกำลังพยายามเดินตาม หัวใจของฟินแลนด์คือ “Phenomenon-Based Learning” (PBL) ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนรู้ผ่านหัวข้อหรือ “ปรากฏการณ์” ที่พวกเขาสนใจ (เช่น ปัญหาขยะในชุมชน) และต้องใช้ความรู้ข้ามศาสตร์ (เช่น วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์, สังคม) มาทำเป็นโปรเจกต์เพื่อแก้ปัญหา
กระบวนการนี้บังคับให้ผู้เรียนต้องพัฒนา Soft Skills ที่จำเป็น เช่น การคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking), การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) และทักษะการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) โดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ฟินแลนด์ยังลงทุนมหาศาลกับการ “พัฒนาครู” ข้อมูลจากโครงการ Code School Finland ชี้ว่า พวกเขาไม่คาดหวังให้ครูทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญ AI หรือ Coding แต่พวกเขา “ฝึกครูให้รู้วิธีสอน” ทักษะเหล่านี้ โดยเน้นที่กระบวนการสอนมากกว่าตัวเนื้อหาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว
ก้าวต่อไปของไทย คือการเติม ‘ช่องว่าง’
การที่ไทยพยายามขยับไปสู่ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” ในปี 2568 ถือเป็นทิศทางที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพื่อหนีจากหลักสูตรที่ล้าสมัย
แต่ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ "เนื้อหาหลักสูตร" แต่คือ "ระบบนิเวศ"
ในขณะที่เอสโตเนียมี “ยุทธศาสตร์ชาติ” รองรับ STEM และฟินแลนด์มี “กระบวนการพัฒนาครู” ที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับ Soft Skills, ประเทศไทยกำลังนำร่องหลักสูตรใหม่ในภาวะที่ “กฎหมายแม่” ยังไม่คลอด, “ครู” ยังสับสน และ “ทรัพยากร” (ตำราเรียน, การวัดผล) ยังไม่สอดคล้อง
หากรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการไม่เร่งอุดช่องว่างทางกฎหมายและสร้างความชัดเจนในการปฏิบัติการให้เร็วที่สุด ความตั้งใจดีในการปฏิรูปหลักสูตรครั้งนี้ อาจกลายเป็นการ “ก้าวสะดุด” ที่สร้างภาระมหาศาลให้กับครูและนักเรียน แทนที่จะเป็นการ “ก้าวกระโดด” ที่เด็กไทยรอคอยมานาน.

อ่านข่าวอื่น ๆ :
- ถอดรหัส ‘หลักสูตรฐานสมรรถนะ 2568’: ก้าวกระโดดหรือก้าวสะดุด เมื่อ ‘กฎหมายแม่’ ยังไม่มา?
- ประชาชนชี้! หลักสูตรการศึกษาไทย ‘ล้าสมัย’ เกือบ 50% วอนรัฐบาลใหม่เร่งปรับปรุง และลดภาระงาน ‘ครู’ ด่วน
- โลกจับตา! ไทย-กัมพูชา ลงนามถ้อยแถลงครั้งสำคัญ โดยมี ‘ทรัมป์-อันวาร์’ สักขีพยาน! นายกฯ อนุทิน ย้ำ 4 เงื่อนไขต้องปฏิบัติก่อนสู่สันติภาพ
- จับกุมครั้งใหญ่! ทหารพราน-ตชด. แม่ระมาด รวบแรงงานต่างด้าวเมียนมา 64 ราย พร้อมผู้นำพาคนไทย 3 คน คาชายแดนตาก
- เปิดตัวแรง! The Standard, Pattaya Na Jomtien “จองเต็มข้ามปี” ก่อนเปิดทางการ! SYNTEC-SCX ผนึกกำลังพลิกโฉมพัทยาด้วยโรงแรมไลฟ์สไตล์หรู
