เมื่อ วันที่ 21 กันยายน 2568 คณะผู้แทนรัฐสภาของสหรัฐฯ (“House of Representatives”) ได้เดินทางเยือนจีน ณ กรุงปักกิ่ง เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ในภารกิจสองฝ่าย (bipartisan delegation) นำโดย ส.ส. Adam Smith จากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีบทบาทสำคัญในคณะกรรมการกลาโหมของรัฐสภา

การเยือนครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อ “ละลายความเย็นชา” (ice-breaking) ที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลังความสัมพันธ์ตึงเครียดในหลายประเด็น เช่น
- ข้อจำกัดในด้านเซมิคอนดักเตอร์ (semiconductor restrictions) ที่สหรัฐฯ กำหนดเพื่อควบคุมเทคโนโลยีและการส่งออกกลับไปยังจีน
- ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ (South China Sea) เกี่ยวกับบทบาททางทหารของจีน
- สถานะของไต้หวัน – ซึ่งจีนยืนยันว่านับเป็นดินแดนหนึ่งของจีน และเรื่องนี้มักเป็นเหตุให้เกิดความตึงเครียดกับสหรัฐฯ เมื่อมีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน
- ความกังวลเรื่องความเป็นเจ้าของและการควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น TikTok
คณะผู้แทนได้เข้าพบกับ Premier Li Qiang ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งทางจีนต้อนรับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะเพิ่มการติดต่อสื่อสารและความร่วมมือด้านต่าง ๆ – ไม่เพียงแค่ด้านการค้า แต่รวมถึงด้านทหารและความมั่นคงระหว่างประเทศด้วย
แม้จะมีการพูดคุยในหลายด้าน แต่ยัง ไม่มีข้อตกลงที่ผูกมัดอย่างชัดเจน เกิดขึ้นในการเยือนรอบนี้ ข้อเสนอหรือการหารือส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับทิศทางและเจตนารมณ์ (intent) มากกว่าแผนปฏิบัติการที่สามารถแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทันที
ทำไมสหรัฐฯ ถึงเลือก ‘เครื่องมือรัฐสภา’ ฟื้นสัมพันธ์กับจีนอีกครั้ง”
เหตุผลหลักที่สหรัฐฯ ใช้ “รัฐสภา” เป็นเครื่องมือเจรจา
1.ลดแรงกดดันทางการทูตอย่างเป็นทางการ
- หากเป็นรัฐบาลต่อรัฐบาล (Executive-to-Executive) เช่น กระทรวงการต่างประเทศ จะถูกตีความว่าเป็นการเปลี่ยนท่าทีของนโยบายสหรัฐฯ ต่อจีนโดยตรง
- การส่งคณะผู้แทนรัฐสภา (Congressional Delegation) จึงเป็น “soft channel” ที่สหรัฐฯ ใช้ส่งสัญญาณเชิงบวกได้โดยไม่กระทบต่อจุดยืนอย่างเป็นทางการ
2.แสดงถึง “เสียงของประชาชน” ในการทูต
- รัฐสภาคือหน่วยงานที่มาจากการเลือกตั้ง จึงมีความชอบธรรมว่าเป็นตัวแทนของประชาชน
- ทำให้จีนรับรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่สัญญาณจากรัฐบาลชุดหนึ่ง แต่เป็นบรรยากาศจากตัวแทนหลายพรรค ซึ่งช่วยให้ความร่วมมือดูมีเสถียรภาพระยะยาวมากขึ้น
3.เป็นกลไก “ทดสอบน้ำ” (Test the Water)
- การส่งผู้แทนรัฐสภาไปเยือนจีนช่วยให้สหรัฐฯ “เก็บข้อมูล” และทดสอบท่าทีจีนก่อนที่ฝ่ายบริหารจะดำเนินนโยบายเชิงลึก
- หากจีนตอบรับดี สหรัฐฯ อาจขยับไปสู่การเจรจาอย่างเป็นทางการผ่านทำเนียบขาวหรือกระทรวงการต่างประเทศ
4.เพิ่มความยืดหยุ่นในการเจรจาประเด็นเฉพาะ
- รัฐสภามีคณะกรรมาธิการหลากหลาย เช่น การค้า ความมั่นคง เทคโนโลยี ซึ่งสามารถพูดคุยประเด็นลึกเฉพาะด้านได้
- เป็นการสร้าง “ช่องทางขนาน” (Track II/Parliamentary Diplomacy) เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะที่ฝ่ายบริหารไม่สะดวกคุย
ผลที่จีนได้รับจากการพบคณะผู้แทนรัฐสภา
- จีนสามารถส่งสัญญาณกลับไปยังหลายฝ่ายของการเมืองสหรัฐฯ ไม่เฉพาะรัฐบาล
- เป็นเวทีสร้างความเข้าใจ ลดการตีความผิดในประเด็นการค้า ไต้หวัน หรือความมั่นคง
ไทย ได้รับผลดี-ผลกระทบอย่างไร จาก สหรัฐ-จีน ในครั้งนี้
ผลกระทบเชิงบวกต่อไทย
1.เสถียรภาพการค้าโลกดีขึ้น
- ไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง หากสหรัฐฯ-จีนกลับมาพูดคุยกันในเชิงบวก จะลดความผันผวนของตลาดโลก และช่วยให้คำสั่งซื้อจากสองประเทศนี้มีเสถียรภาพขึ้น
- สินค้าของไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตสหรัฐฯ-จีน เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเกษตรแปรรูป อาจได้อานิสงส์จากความตึงเครียดที่ลดลง
2.โอกาสการลงทุนและท่องเที่ยว
ผลกระทบเชิงลบหรือความเสี่ยง
1.แรงกดดันด้านการทูต
- ไทยต้องรักษาสมดุลระหว่างสองประเทศมหาอำนาจนี้ต่อไป
- หากสหรัฐฯ และจีนใช้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวทีขยายอิทธิพล ไทยอาจถูกคาดหวังให้เลือกข้างในบางประเด็น เช่น เทคโนโลยี 5G หรือความมั่นคงในทะเลจีนใต้
2.การแข่งขันลงทุนในภูมิภาค
- หากสหรัฐฯ กับจีนเจรจากันแล้วทำข้อตกลงบางอย่างโดยตรง ไทยอาจเสียเปรียบเรื่องสิทธิพิเศษทางการค้า หรือแรงจูงใจด้านการลงทุนบางส่วน
ข้อสังเกตเชิงกลยุทธ์สำหรับไทย
- ไทยควร ใช้โอกาสนี้เชื่อมความสัมพันธ์ กับทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นขึ้น
- พัฒนา Supply Chain และ Logistics ให้พร้อมรองรับการลงทุนของบริษัทที่ต้องการฐานการผลิตในภูมิภาค
- ผลักดัน การท่องเที่ยวคุณภาพ จากสองตลาดใหญ่ พร้อมเสนอบริการใหม่ ๆ

อ่านข่าวอื่น ๆ :
- วัยรุ่น-วัยทำงานก็เสี่ยง! นักวิจัยชี้ ‘ประวัติครอบครัว’ และ ‘อายุ’ ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งที่คนไทยมองข้ามไม่ได้
- “เยือนจีน 2025: ทำไมสหรัฐฯ ถึงเลือก ‘เครื่องมือรัฐสภา’ ฟื้นสัมพันธ์กับจีนอีกครั้ง”ไทยได้อะไร?
- นักวิ่งสาวหัวใจวายเสียชีวิตก่อนถึงเส้นชัย 1 กม. สามีเผยลางบอกเหตุ ภรรยาโบกมือลาครั้งสุดท้ายในกิจกรรม “วิ่งสะออน RUN 2025” ที่นครพนม
- “ดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปี” ในวันที่ 21 กันยายน 2568:
- ฟุตซอลไทยฟอร์มดุ! ถล่มบรูไน 15-1 ประเดิมชัยศึกชิงแชมป์เอเชีย