เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2268 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ โดยกำหนดอัตราภาษีพื้นฐานที่ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ และกำหนดอัตราภาษีเพิ่มเติมสำหรับบางประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งประเทศไทยถูกกำหนดอัตราภาษีเพิ่มเติมที่ 36%
การขึ้นภาษีครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกหลักของไทยไปยังสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักของไทยที่อาจเผชิญกับความต้องการที่ลดลงเนื่องจากราคาที่สูงขึ้นจากภาษี
ยานยนต์และชิ้นส่วน ภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้สินค้ากลุ่มนี้มีความสามารถในการแข่งขันลดลงในตลาดสหรัฐฯ
เครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ สินค้ากลุ่มนี้อาจได้รับผลกระทบจากการที่ผู้บริโภคหันไปหาสินค้าที่มีราคาถูกกว่าจากประเทศอื่น
อาหารทะเลแปรรูป ภาษีที่สูงขึ้นอาจทำให้สินค้ากลุ่มนี้มีราคาสูงขึ้นและลดความต้องการในตลาดสหรัฐฯ
นอกจากนี้ การขึ้นภาษียังอาจส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมลดลง
จากข้อมูลของ InnovestX Securities การขึ้นภาษีดังกล่าวอาจทำให้ GDP ของไทยหดตัวลงถึง 1.2 เปอร์เซ็นต์ จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.5 เปอร์เซ็นต์
รัฐบาลไทยได้แสดงความตั้งใจที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาทางลดผลกระทบจากภาษีดังกล่าว และมีแผนที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และน้ำมันดิบ เพื่อลดการเกินดุลการค้า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าวอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากสหรัฐฯ มีความตั้งใจที่จะลดการขาดดุลการค้ากับประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพิจารณาหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากเกินไป