เมื่อผู้เสพยาเสพติด ยังถูกบีบให้เป็นนักโทษ

รัฐบาลไทยได้แก้ไขกฎหมายยาเสพติดล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 โดยปรับลดปริมาณการครอบครองยาบ้าที่ถือว่าเป็นการครอบครองเพื่อเสพ จากไม่เกิน 5 เม็ด เหลือไม่เกิน 1 เม็ด หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม หากครอบครองเกินกว่านี้จะถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

การแก้ไขกฎกระทรวงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเน้นการปราบปรามผู้ค้าและการบำบัดรักษาผู้เสพ

แพทองธาร ชินวัตร : นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 31

เมื่อย้อนไปดูมาตรการที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศอย่างเด็ดขาดและครบวงจร โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้:

  • ความร่วมมือระหว่างประเทศ: ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายยาเสพติด รวมถึงการสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้า และตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด
  • การปราบปรามและยึดทรัพย์: ดำเนินการปราบปรามและยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสังคม
  • การบำบัดรักษาและฟื้นฟู: ค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ฝึกอาชีพ การศึกษา และฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมถึงมีระบบติดตามดูแลเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน: จัดทำแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดโดยตรงถึงนายกรัฐมนตรี โดยข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด
  • การบริหารจัดการระดับจังหวัด: มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศทำหน้าที่เป็นซีอีโอในการจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ของตนเอง เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของแต่ละพื้นที่

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เปิดปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ใน 51 อำเภอชายแดน เพื่อสกัดกั้นการลักลอบนำเข้ายาเสพติดและแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาดแต่!

จากสถิติคดียาเสพติด ของสำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด พบว่า สำนวนประเภท (ส.1 ฟื้นฟู) หรือ สำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งพนักงานอัยการพิจารณาส่งผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพแทนการดำเนินคดีอาญา แต่จำนวนผู้ต้องหาในประเภท (ส.1 ฟื้นฟู) กลับลดน้อยลงมากอย่างมีนัยยะ (ข้อมูลอ้างอิง เว็บไซต์สำนักงานอัยการสูงสุด)

สถิติการรับสำนวนยาเสพติด ประเภทสำนวน (ส.1 ฟื้นฟู) ของสำนักงานคดียาเสพติด ตั้งแต่ปี 2562 – 2568

หากเจาะเข้าไปดูตัวเลขสถิติสำนวนประเภท (ส.1 ฟื้นฟู) ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่มีจำนวนสำนวนทั้งหมด ใกล้เคียงกับปี 2567 เป็นการบริหารของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี 2 นายกรัฐมนตรี คือ ช่วงต้นปี มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ และช่วงปลายปี มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ จะพบว่าตัวเลขสำนวน ประเภท (ส.1 ฟื้นฟู) ปี 2564 จากสำนวนทั้งหมด 10,543 คดี มีสำนวน ส.1 ฟื้นฟู มากถึง 1,998 คดี แต่พอมาปี 2567 หลังมีการแก้กฎกระทรวง มีสำนวนยาเสพติดทั้งสิ้น 10,432 คดี มีสำนวน ส.1 ฟื้นฟู เพียง 9 คดี ทั้งที่รัฐบาลแพทองธาร มีเป้าหมายที่จะบำบัดฟื้นฟูมากกว่าจะดำเนินคดีอาญา

*ตารางแสดงสถิติสำนวนคดียาเสพติด (ส.1 ฟื้นฟู) ปี 2564 ยุครัฐบาลประยุทธ์ ปี 2567 ยุครัฐเพื่อไทย

จากตัวเลขข้างต้นดังกล่าว มันย้อนแย้ง กับมาตรการของพรรคเพื่อไทย ที่จะให้ผู้เสพยาเสพติดเป็นผู้ป่วย แล้วให้แสดงความประสงค์ขอเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแทนการถูกดำเนินคดีอาญา ตามกฎหมายยาเสพติดที่ถูกปรับปรุงมาใช้ฉบับใหม่นี้ ซึ่งเหมือนรัฐบาลไทย ยังเน้นในการปราบปรามและจับกุมผู้เสพและผู้ค้าเหมือนเดิม โดยดำเนินการผ่านกระบวนการยุติธรรมที่รัฐมีอยู่ ตั้งแต่ชั้นจับกุม สืบสวนสอบสวน รวมมาถึงชั้นอัยการ และเราก็จะเห็นว่ามาตรการเน้นปราบปรามอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้ยาเสพติดในประเทศไทยลดลงได้ ในอีกด้านมาตรการการบำบัดฟื้นฟู ก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง

ประเทศไทย ถูกจัดอันดับให้อยู่รั้งท้าย จาก 30 ประเทศทั่วโลก โดย การจัดทำดัชนีชี้วัดนโยบายยาเสพติดโลก (Global Drug Policy Index) ในปี 2021

สำหรับประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 24 ร่วมกับกานา ได้คะแนนรวม 36 คะแนน โดยได้คะแนนต่ำสุดในหมวดการตอบสนองต่อคดีอย่างพอควรแก่เหตุ และการดูแลสุขภาพและการลดอันตรายของผู้เสพยาเสพติด ซึ่งได้คะแนนมากกว่าประเทศอินโดนีเซีย ที่อยู่ที่อันดับที่ 28 ได้ 29 คะแนน เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน (ข้อมูลอ้างอิง)

Global Drug Policy Index จัดทำดัชนีชี้วัดนโยบายยาเสพติดโลก ปี 2021

ประเทศที่เน้นการปราบปรามยาเสพติดมากกว่าการบำบัดรักษา เกิดผลอย่างไร?

หลายประเทศเลือกใช้แนวทางที่เน้น การปราบปรามและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ในการแก้ปัญหายาเสพติด เช่น ฟิลิปปินส์, ไทย, เม็กซิโก และอินโดนีเซีย ซึ่งแนวทางนี้มีทั้งผลลัพธ์ในเชิงบวกและผลกระทบด้านลบที่ต้องพิจารณา

1.ฟิลิปปินส์ (Philippines)

  • ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต (Rodrigo Duterte) มีนโยบาย “สงครามยาเสพติด” (War on Drugs) ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2016
  • มีการใช้ ปฏิบัติการทางทหารและตำรวจอย่างรุนแรง มีผู้ต้องสงสัยจำนวนมากถูกวิสามัญโดยเจ้าหน้าที่และกลุ่มติดอาวุธ
  • มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6,000 – 27,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้และผู้ค้ารายย่อย

ผลลัพธ์

✅ การลดลงของอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในช่วงต้น
✅ ความพึงพอใจของประชาชนที่เห็นการแก้ปัญหาทันที

❌ มีรายงานว่ามี การละเมิดสิทธิมนุษยชน จำนวนมาก
❌ เกิดปัญหา คอร์รัปชัน ในหน่วยงานรัฐ
❌ กลุ่มอาชญากรบางส่วนเปลี่ยนรูปแบบเป็นเครือข่ายใต้ดินแทน
❌ ไม่สามารถลดความต้องการใช้ยาเสพติดในระยะยาว

ประธานาธิบดีดูแตร์เต แสดงรายชื่อองค์การยาเสพติดในเมืองบูตูอัน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2016

2.เม็กซิโก (Mexico)

  • รัฐบาลเม็กซิโกทำสงครามกับแก๊งค้ายาเสพติดตั้งแต่ปี 2006 โดยใช้กองทัพและตำรวจ
  • แก๊งค้ายาเช่น Sinaloa Cartel, Jalisco New Generation Cartel (CJNG) ตอบโต้ด้วยความรุนแรง ทำให้เกิดสงครามระหว่างรัฐกับกลุ่มอาชญากร

ผลลัพธ์

✅ การจับกุมหัวหน้าแก๊งสำคัญ เช่น El Chapo (Joaquín Guzmán)
✅ มีการยึดยาเสพติดและทรัพย์สินจำนวนมาก

❌ ความรุนแรงทวีคูณ แก๊งค้ายาขยายอิทธิพลและแตกตัวเป็นกลุ่มย่อย
❌ จำนวนผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงมากกว่า 300,000 คน
❌ เมืองหลายแห่งกลายเป็น “เขตสงคราม” ทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเสียหาย

3.ไทย (Thai)

  • ไทยเคยดำเนินนโยบาย “สงครามยาเสพติด” ในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร (ปี 2546)
  • มีการใช้มาตรการ “ยิงก่อน ถามทีหลัง” ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการวิสามัญจำนวนมาก
  • มีการกวาดล้างผู้ต้องสงสัยอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติดรายย่อย

ผลลัพธ์

✅ จำนวนคดียาเสพติดและอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องลดลงชั่วคราว
✅ ยาเสพติดบางประเภทหายไปจากตลาดช่วงหนึ่ง

❌ มีข้อกล่าวหาว่า ผู้บริสุทธิ์ถูกกำจัดไปด้วย
❌ เครือข่ายยาเสพติดปรับตัว กลายเป็นระบบใต้ดินที่ซับซ้อนขึ้น
❌ ปัจจุบันปัญหายาเสพติดยังคงอยู่และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ผลลัพธ์ของนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรง

ข้อดีของนโยบายนี้

ลดจำนวนอาชญากรรมบางประเภท (โดยเฉพาะการปล้น ฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด)
สร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล โดยเฉพาะช่วงแรกที่ประชาชนเห็นผลลัพธ์เร็ว
กดดันเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การค้าและการกระจายตัวยาเสพติดยากขึ้น

ข้อเสียและผลกระทบระยะยาว

ละเมิดสิทธิมนุษยชน และเกิดการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เนื่องจากไม่ลด “ความต้องการใช้ยา” (Demand)
กระตุ้นให้เกิดตลาดมืดและการพัฒนากลยุทธ์ใหม่ของแก๊งค้ายา
ทำลายความไว้วางใจต่อรัฐ เมื่อเกิดคดีการสังหารผู้บริสุทธิ์

แนวทางทางเลือกที่สมดุลกว่า

จากการศึกษาของหลายประเทศ พบว่าการแก้ปัญหายาเสพติดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักเป็นแนวทางที่ผสมผสาน การบังคับใช้กฎหมาย + การบำบัดฟื้นฟู + มาตรการทางสังคม เช่น

  • โปรตุเกส (Decriminalization) เน้นการบำบัดแทนการลงโทษ
  • สวิตเซอร์แลนด์ มีโครงการแจกเมทาโดนและให้คำปรึกษาผู้ติดยา
  • เนเธอร์แลนด์ ใช้แนวคิด “ลดอันตรายจากยาเสพติด” (Harm Reduction)

ข้อสรุป

  • การปราบปรามอย่างรุนแรงอาจให้ผลลัพธ์เร็วในช่วงแรก แต่ไม่ยั่งยืนและมีผลกระทบร้ายแรง
  • การบำบัดและมาตรการเชิงสังคมช่วยลดปัญหายาเสพติดในระยะยาวได้ดีกว่า
  • นโยบายที่ดีที่สุดคือการ สมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการช่วยเหลือผู้ติดยา

ประเทศที่ใช้แนวทางการบำบัดรักษายาเสพติดแทนการปราบปราม เกิดผลอย่างไร?

1.โปรตุเกส: การลดโทษทางอาญาและการเน้นบำบัด

  • แนวทาง:
    • ในปี 2001 โปรตุเกสลดโทษทางอาญาสำหรับการครอบครองยาเสพติดเพื่อใช้ส่วนตัว ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม (รวมถึงเฮโรอีนและโคเคน) โดยหากพบผู้เสพ จะถูกส่งไปคณะกรรมการด้านสุขภาพแทนการติดคุก
    • มีการสนับสนุนศูนย์บำบัดรักษาฟรี และโครงการให้เข็มสะอาดเพื่อลดการติดเชื้อ HIV
    • เน้นให้ผู้เสพสามารถเข้าถึงแพทย์ นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์
  • ผลลัพธ์ที่ได้:
    ✅ อัตราการใช้ยาเสพติดไม่ได้เพิ่มขึ้น มีแนวโน้มลดลงในบางช่วง
    ✅ อัตราการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด (Overdose) ลดลงมากกว่าครึ่ง
    ✅ อัตราการติดเชื้อ HIV จากการใช้เข็มฉีดยาลดลงกว่า 90%
    ✅ ประหยัดงบประมาณจากการบังคับใช้กฎหมาย และสามารถนำเงินไปสนับสนุนระบบสาธารณสุข
  • ผลกระทบ:
    ❌ มีบางเสียงวิจารณ์ว่าอาจทำให้เกิดทัศนคติที่ผ่อนคลายต่อการใช้ยา
    ❌ ผู้เสพบางส่วนยังขาดโอกาสด้านการศึกษาและอาชีพ แม้จะได้รับการบำบัด
เจ้าหน้าที่พิทักษ์พเรือนประเทศโปรตุเกศ : ภาพประกอบบทความเกี่ยวกับโปรตุเกส

2.สวิตเซอร์แลนด์: โครงการให้เฮโรอีนอย่างถูกกฎหมาย

  • แนวทาง:
    • มีการให้เฮโรอีนแบบควบคุมในศูนย์บำบัดเพื่อช่วยให้ผู้เสพลดการพึ่งพายาเสพติด
    • ใช้วิธีบำบัดโดยแพทย์แทนการลงโทษ
    • มีศูนย์ฉีดยาที่ปลอดภัย เพื่อลดการใช้เข็มร่วมกัน
  • ผลลัพธ์ที่ได้:
    ✅ อัตราการก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดลดลง
    ✅ อัตราการติดเชื้อ HIV จากการใช้ยาเสพติดลดลง
    ✅ ผู้เสพจำนวนมากสามารถกลับเข้าสู่สังคมและมีงานทำ
  • ผลกระทบ:
    ❌ ยังมีความกังวลว่าการให้เฮโรอีนฟรีอาจเป็นการ “ส่งเสริม” การใช้ยา
    ❌ อาจมีต้นทุนในการบริหารโครงการสูง

3.เนเธอร์แลนด์: นโยบายเสรีกัญชา & ศูนย์ดูแลผู้เสพ

  • แนวทาง:
    • อนุญาตให้จำหน่ายกัญชาในร้านค้าที่มีการควบคุม (Coffee Shops)
    • ผู้เสพยาเสพติดรุนแรงจะถูกส่งไปเข้ารับการบำบัดแทนการติดคุก
    • มีโครงการแจกจ่ายยาทดแทน เช่น เมทาโดน (Methadone) สำหรับผู้ติดเฮโรอีน
  • ผลลัพธ์ที่ได้:
    ✅ อัตราการใช้ยาเสพติดรุนแรง เช่น เฮโรอีน ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    ✅ ลดภาระของตำรวจและเรือนจำ
    ✅ การใช้กัญชาอยู่ในระดับคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่กังวล
  • ผลกระทบ:
    ❌ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาซื้อกัญชา ทำให้เกิดปัญหาด้านการท่องเที่ยวเชิงยาเสพติด

4.แคนาดา: การทำให้กัญชาถูกกฎหมาย และโครงการป้องกันการใช้ยาเสพติด

  • แนวทาง:
    • ทำให้กัญชาถูกกฎหมายเพื่อควบคุมตลาดและลดอาชญากรรม
    • เปิดศูนย์ฉีดยาปลอดภัย และแจกจ่ายยาทดแทนสำหรับผู้ติดยาเสพติด
    • ลงทุนในโครงการป้องกันเยาวชนจากการใช้ยาเสพติด
  • ผลลัพธ์ที่ได้:
    ✅ ตลาดกัญชาถูกควบคุม ทำให้ลดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้ายา
    ✅ อัตราการใช้ยาเสพติดที่รุนแรงไม่ได้เพิ่มขึ้น
    ✅ ผู้เสพยาได้รับการช่วยเหลือมากขึ้น
  • ผลกระทบ:
    ❌ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้กัญชาในวัยรุ่น
    ❌ มีรายงานบางส่วนว่ากัญชาผิดกฎหมายยังคงมีอยู่ในตลาด

ข้อดีของแนวทางการบำบัดแทนการปราบปราม

ลดอัตราการเสียชีวิต – ประเทศที่ใช้แนวทางนี้มักพบว่าการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดลดลง
ลดอัตราการติดเชื้อ HIV และโรคจากเข็มฉีดยา
ลดจำนวนผู้ต้องขังที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด – ทำให้เรือนจำไม่แออัด
เพิ่มโอกาสให้ผู้เสพกลับคืนสู่สังคม – มีโอกาสเรียนต่อ หรือหางานทำได้ง่ายขึ้น
ประหยัดงบประมาณด้านกระบวนการยุติธรรม – ตำรวจและศาลสามารถเน้นไปที่อาชญากรรมที่ร้ายแรงกว่า

ข้อเสียและผลกระทบ

อาจทำให้เกิดทัศนคติที่ผ่อนคลายต่อการใช้ยาเสพติด ในบางกรณี
อาจต้องใช้งบประมาณสูงในการบำบัดและสนับสนุนระบบสาธารณสุข
ความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง – หลายประเทศมีการถกเถียงเรื่องการทำให้ยาเสพติดบางชนิดถูกกฎหมาย

แนวทางที่เหมาะสมสำหรับประเทศอื่น ๆ

  • การลดโทษทางอาญาสำหรับผู้เสพ แต่คงความเข้มงวดกับผู้ค้ายา
  • การเพิ่มงบประมาณสำหรับการบำบัดรักษา และโครงการลดอันตราย
  • การให้ความรู้และรณรงค์ป้องกันในกลุ่มเยาวชน
  • การวิจัยเพื่อปรับใช้แนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศนั้นๆ

💡 สรุป: หลักฐานจากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าการเน้นการบำบัดฟื้นฟู แทนการปราบปราม สามารถช่วยลดผลกระทบทางลบของยาเสพติดได้จริง แม้ว่าจะมีความท้าทายบางอย่าง แต่ผลลัพธ์โดยรวมชี้ให้เห็นว่าการใช้แนวทางด้านสาธารณสุขจะได้ผลดีกว่าการเน้นจับกุมและลงโทษเพียงอย่างเดียว

ทำไม? ประเทศไทย ยังไม่สามารถเริ่มต้น มาตรการแก้ปัญหายาเสพติด ด้วยการลดอันตรายจากการใช้ยาได้

ประเทศไทยมีประวัติการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติดที่เน้นการปราบปรามและการบังคับใช้กฎหมายมาอย่างยาวนาน ซึ่งส่งผลให้อัตราการคุมขังผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดสูงที่สุดในโลก (อ้างอิง)

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายโดยให้ความสำคัญกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพยาเสพติดมากขึ้น ตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดประจำปี 2565-2567 (อ้างอิง)

แม้ว่าจะมีความพยายามในการนำแนวคิดการลดอันตราย (Harm Reduction) มาใช้ในประเทศไทย แต่ยังคงมีข้อจำกัดในการดำเนินงาน เนื่องจากทัศนคติของสังคมที่ยังมองว่าผู้เสพยาเสพติดเป็นอาชญากร มากกว่าผู้ป่วยที่ต้องการการรักษา (อ้างอิง) นอกจากนี้ การขาดความเข้าใจและการยอมรับในแนวทางการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติดยังเป็นอุปสรรคสำคัญในการนำมาตรการดังกล่าวไปปฏิบัติ (อ้างอิง) ดังนั้น แม้ว่าประเทศไทยจะเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายไปสู่การบำบัดฟื้นฟูและการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด แต่ยังคงมีความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมและการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว.

ภาพประกอบบทความเรื่องยาเสพติด

บทความรวบรวมโดย : สมปรารถนา หุงขุนทด บรรณาธิการข่าว TopicThailand

อ่านข่าวอื่น ๆ :

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *