อาถรรพ์งูเห่า : บทเรียนจากการเลือกตั้ง 66 เมื่อการย้ายพรรคไม่ใช่ทางรอดเสมอไป

แม้การเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 จะผ่านไปแล้ว แต่ในปัจจุบัน (ปี 2567-2568) มีกระแสข่าวลือเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี และการเตรียมตัวของนักการเมืองในการเลือกตั้งท้องถิ่นหรือระดับชาติรอบใหม่ การเข้าใจ “พฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” ต่อ “ผู้ย้ายพรรค” จึงเป็น Data สำคัญที่ทั้งนักการเมืองและประชาชนอยากรู้ เพื่อวิเคราะห์ทิศทางการเมืองไทยในอนาคต

ข้อมูลเชิงลึกและสถิติที่สำคัญ (Key Statistics): จากการรวบรวมข้อมูลหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก สถาบันพระปกเกล้า (KPI) และการวิเคราะห์ข้อมูลดิบจาก กกต. พบสถิติที่น่าตกใจดังนี้:

  • อัตราการสอบตกของผู้ย้ายพรรค: ในกลุ่ม สส. ที่ย้ายออกจากพรรคเดิม (โดยเฉพาะกลุ่มที่ย้ายข้ามขั้ว หรือที่เรียกว่า “งูเห่า”) มีโอกาสสอบตกสูงถึง 60-70% ในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
  • กรณีศึกษาพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล: อดีต สส. พรรคอนาคตใหม่ที่ย้ายไปสังกัดพรรคขั้วรัฐบาลเดิม (ภูมิใจไทย/พลังประชารัฐ) เกือบทั้งหมด “สอบตก”
  • การล่มสลายของระบบบ้านใหญ่: สถิติชี้ชัดว่า “กระแสพรรค” (Party Brand) มีอิทธิพลเหนือ “ตัวบุคคล” (Personal Brand) มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในเขตเมืองและภาคกลาง

ในวงจรการเมืองไทย “การย้ายพรรค” เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติและเป็นกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดของนักการเมือง หรือที่เรียกกันว่า “พลังดูด” เพื่อย้ายขั้วไปอยู่กับฝั่งที่มีโอกาสเป็นรัฐบาล แต่จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดและทิศทางการเมืองปัจจุบัน ข้อมูลสถิติกลับบ่งชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม คำถามสำคัญที่ TopicThailand จะพาไปหาคำตอบคือ การย้ายพรรคในยุคนี้ ยังเป็นทางรอด หรือคือการก้าวขาเข้าสู่ “สุสานทางการเมือง” กันแน่?

จากการวิเคราะห์ข้อมูลผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งล่าสุด พบตัวเลขที่น่าสนใจในกลุ่ม “อดีต สส.” ที่ตัดสินใจย้ายสังกัดพรรค หากพิจารณาเฉพาะกลุ่ม “งูเห่า” หรือ สส. ที่ย้ายข้ามขั้วอุดมการณ์ (เช่น จากฝ่ายค้านไปรัฐบาล) สถิติระบุว่ามีโอกาสได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็น สส. เขต น้อยกว่า 30%

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือกรณีของ อดีต สส. พรรคอนาคตใหม่ ที่ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย หรือ พรรคพลังประชารัฐ ในช่วงสภาชุดก่อน เกือบทั้งหมดพ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครหน้าใหม่จากพรรคก้าวไกล หรือ พรรคเพื่อไทย ในเขตเดิมของตนเอง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “แบรนด์พรรค” และ “จุดยืนทางการเมือง” มีน้ำหนักในใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า “ผลงานรายบุคคล” ในพื้นที่

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? : การเปลี่ยนผ่านของภูมิทัศน์การเมือง

งานวิจัยทางรัฐศาสตร์จากสถาบันพระปกเกล้าและนักวิชาการหลายท่าน ให้ความเห็นตรงกันว่า สังคมไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบ “อุปถัมภ์” (Patronage System) หรือระบบ “บ้านใหญ่” ไปสู่การเลือกตั้งเชิงประเด็นและนโยบาย (Issue-based / Policy-based) มากขึ้น

  1. พลังของโซเชียลมีเดีย: การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทำให้ประชาชนตรวจสอบประวัติการโหวตและจุดยืนของ สส. ได้ง่ายขึ้น การย้ายพรรคโดยอ้างเหตุผลเรื่อง “การพัฒนาพื้นที่” แต่ขัดแย้งกับอุดมการณ์ที่เคยหาเสียงไว้ ถูกมองว่าเป็นการ “ทรยศคะแนนเสียง”
  2. คนรุ่นใหม่กับฐานเสียงเดิม: กลุ่ม New Voter และคนรุ่นใหม่มีพฤติกรรมการเลือกที่อิงกับ “พรรค” (Party List influence) มากกว่าตัวบุคคล เมื่อ สส. ย้ายออกจากพรรคที่มีกระแสดี คะแนนนิยมส่วนตัวจึงไม่เพียงพอที่จะต้านทานกระแสพรรคคู่แข่งได้

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 97 (3) กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง กฎหมายข้อนี้เป็นดาบสองคมที่บีบให้นักการเมืองต้องรีบตัดสินใจย้ายพรรคก่อนครบวาระสภา หรือก่อนที่จะมีการยุบสภา ซึ่งการตัดสินใจที่เร่งรีบโดยไม่อ่าน “ลมทางการเมือง” (Political Wind) ให้ดี นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ดังที่ปรากฏในสถิติ

การย้ายพรรคไม่ใช่เรื่องต้องห้ามและเป็นสิทธิของนักการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย แต่บทเรียนจากสถิติยุคใหม่ชี้ให้เห็นว่า “ประชาชนจดจำ” และ “ความซื่อสัตย์ต่อจุดยืน” มีราคาที่ต้องจ่ายหรือได้รับรางวัล การย้ายพรรคเพียงเพื่อหวังกระแสหรือกล้วยทางการเมือง โดยละเลยฉันทามติของประชาชนในพื้นที่ กลายเป็นความเสี่ยงสูงสุดที่อาจปิดฉากชีวิตทางการเมืองของ สส. ผู้นั้นอย่างถาวร.

แหล่งอ้างอิงหลัก:

  • สถาบันพระปกเกล้า (KPI) – รายงานสรุปผลการเลือกตั้ง 2566
  • สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) – สถิติคะแนนรายเขต
  • งานวิจัยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่องพฤติกรรมการเลือกตั้ง

อ่านข่าวอื่น ๆ :

สั่งสินค้าได้ที่นี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *