เจาะลึกคดีประวัติศาสตร์ “ชินคอร์ป”: เมื่อรัฐยึด 4.6 หมื่นล้านบาท เงินไปไหน? และทำไมภาษี 1.7 หมื่นล้านถึงหายวับ?

ท่ามกลางกระแสธารทางการเมืองที่เชี่ยวกราก หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงเสมอคือ “คดีหุ้นชินคอร์ป” ดีลธุรกิจแสนล้านที่สั่นสะเทือนรัฐบาลและนำไปสู่การยึดทรัพย์ครั้งมโหฬารที่สุดครั้งหนึ่งของไทย คำถามสำคัญที่ยังค้างคาใจคนไทยไม่ใช่แค่เรื่องใครผิดใครถูก แต่คือคำถามที่ว่า “เงินจำนวนมหาศาลนั้นตกเป็นของใคร?” และ “บทเรียนเรื่องภาษีสอนอะไรเราบ้าง?”

คำพิพากษาพลิกแผ่นดิน: แยกแยะ “ยึดทรัพย์” กับ “ภาษี” ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการนำตัวเลขมายำรวมกัน ข้อเท็จจริงทางกฎหมายแยกออกเป็น 2 ส่วนสำคัญ:

  1. การยึดทรัพย์ 46,373 ล้านบาท (สำเร็จ): เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2553 ให้ยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) และครอบครัว จำนวน 46,373 ล้านบาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน โดยวินิจฉัยว่าเป็นการ “ร่ำรวยผิดปกติ” จากการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อกิจการครอบครัว
  2. การเรียกเก็บภาษี 17,629 ล้านบาท (ไม่สำเร็จ): กรมสรรพากรได้พยายามประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชินคอร์ป แต่มหากาพย์นี้จบลงเมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกตรวจสอบไม่ถูกต้องตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สะท้อนให้เห็นถึง “ช่องโหว่” และ “ความผิดพลาด” ของกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย

เงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ไปอยู่ที่ไหน? เมื่อศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน กระบวนการมีดังนี้:

  • เข้าสู่คลังหลวง: เงินทั้งหมดจะถูกส่งเข้า “กระทรวงการคลัง” เพื่อเป็นรายได้แผ่นดิน
  • การจัดสรร: เงินก้อนนี้จะถูกนำไปรวมในงบประมาณรายจ่ายประจำปี รัฐบาลในขณะนั้นและรัฐบาลต่อๆ มา จะเป็นผู้นำมาจัดสรรผ่าน พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่าย เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ เช่น สร้างถนน โรงพยาบาล เงินเดือนข้าราชการ และสวัสดิการต่างๆ
  • ประชาชนได้ส่วนแบ่งหรือไม่?: ตามกฎหมายไทย เงินที่ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ไม่ได้ถูกนำมาปันผลแจกจ่ายให้ประชาชนรายบุคคลโดยตรง แต่ประชาชนได้รับประโยชน์ทางอ้อมผ่านสาธารณูปโภคและบริการภาครัฐ

ธรรมาภิบาลและบทเรียนราคาแพง คดีนี้ให้บทเรียนสำคัญ 3 ประการแก่สังคมไทย:

  1. ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest): เป็นเส้นแบ่งบางๆ ที่นักการเมืองต้องระวัง การกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อธุรกิจตนเองนำมาซึ่งความเสียหายร้ายแรง
  2. ความแม่นยำของกฎหมาย: กรณีภาษี 1.7 หมื่นล้านบาท คือบทเรียนของหน่วยงานรัฐ หากดำเนินการล่าช้าหรือผิดขั้นตอนทางเทคนิค (Technicality) รัฐอาจสูญเสียรายได้มหาศาล และผู้ถูกกล่าวหาก็ใช้สิทธิต่อสู้ตามกฎหมายได้
  3. ความเสมอภาค: กฎหมายต้องบังคับใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกฯ หรือประชาชนทั่วไป

บทสรุป เงิน 46,373 ล้านบาทได้กลับคืนสู่แผ่นดินและถูกใช้ไปในการบริหารประเทศแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าตัวเงิน คือบรรทัดฐานทางกฎหมายและจริยธรรมที่ถูกจารึกไว้ เป็นเครื่องเตือนใจว่า “อำนาจ” ต้องมาพร้อมกับ “ความรับผิดชอบ” และความโปร่งใสคือเกราะคุ้มกันที่ดีที่สุด.

อ้างอิง:

  • คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2553
  • คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง (กรณีภาษีหุ้นชินคอร์ป)
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (เรื่องการบังคับคดีและทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน)

อ่านข่าวอื่น ๆ :

สั่งสินค้าได้ที่นี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *