วิเคราะห์: ปิดประตูคืนรัง? ส่อง 3 เส้นทางกฎหมาย “บิ๊กโจ๊ก” กับการกลับมาเป็นตำรวจ ได้หรือไม่?

มหากาพย์การต่อสู้ทางกฎหมายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ดูเหมือนจะเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด หลังศาลปกครองสูงสุดมีมติ “ยกคำร้อง” ขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อกลับเข้ารับราชการ สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ดับความหวังในการคืนเก้าอี้อย่างรวดเร็ว แต่ยังส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความหนักแน่นของ “คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน” ที่กำลังถูกท้าทาย บทวิเคราะห์ชิ้นนี้จะเจาะลึกสถานะทางกฎหมายในปัจจุบัน เส้นทางที่เหลืออยู่ และแรงสั่นสะเทือนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เจาะไทม์ไลน์ “คำสั่ง” สู่ “คำวินิจฉัย”

การต่อสู้ครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นจากคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567 ที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ “ออกจากราชการไว้ก่อน” (อ้างอิง: Dailynews, 12 พ.ย. 2567) ภายหลังถูกกล่าวหาว่าพัวพันคดีฟอกเงินจากเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ BNKMaster ซึ่งถือเป็นคดีอาญาและวินัยร้ายแรง

ตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งเปรียบเสมือน “ศาลเตี้ย” ภายในองค์กรตำรวจ

ทว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ก.พ.ค.ตร. ได้มีคำวินิจฉัยที่ “ยกอุทธรณ์” (อ้างอิง: Spring News, 6 ส.ค. 2567) โดยยืนยันว่ากระบวนการและเหตุผลในการออกคำสั่งให้ออกจากราชการนั้น “ชอบด้วยกฎหมาย” แล้ว การตัดสินใจของ ก.พ.ค.ตร. ถือเป็นด่านแรกที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่สามารถผ่านไปได้

สมรภูมิสุดท้าย: ศาลปกครองสูงสุด

เมื่อประตูด่านแรกปิดลง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงนำคดีนี้ขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมภายนอก โดยยื่นฟ้องต่อ “ศาลปกครองสูงสุด” (เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับนายตำรวจระดับสูง) เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งให้ออกฯ และคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.

หัวใจสำคัญของการต่อสู้ในระยะสั้น คือการยื่น “คำร้องขอทุเลาการบังคับคดี” หรือ “ขอคุ้มครองชั่วคราว” ซึ่งหากศาลอนุญาต พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะได้กลับเข้ารับราชการทันทีในระหว่างที่คดีหลักยังสู้กันไม่จบ

แต่ในที่สุด (ช่วง พ.ย. 2567) ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ได้มีมติชี้ขาด “ยกคำร้องคุ้มครองชั่วคราว” (อ้างอิง: ประชาชาติธุรกิจ, 13 พ.ย. 2567)

เหตุผลของศาลฯ ที่เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน (อ้างอิง: Thai PBS, 13 พ.ย. 2567) สรุปได้ว่า การที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงและถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน การให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อยู่ในราชการต่อไปอาจ “ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง” ต่อการบริหารงานบุคคลของ สตช. และกระทบต่อความศรัทธาของประชาชน ศาลฯ จึงเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการนั้น “ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมาย” แล้ว

วิเคราะห์ 3 เส้นทางที่เหลืออยู่ของ “บิ๊กโจ๊ก”

เมื่อโอกาสในการ “คัมแบ็ก” อย่างรวดเร็วถูกปิดตาย เส้นทางของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในการต่อสู้จึงตีบแคบลง และซับซ้อนยิ่งขึ้น ดังนี้:

เส้นทางที่ 1: ชนะคดีหลัก (คดีปกครอง) – ความหวังริบหรี่ แม้ศาลจะยกคำร้องคุ้มครองชั่วคราว แต่ “คดีหลัก” ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ออกฯ ทั้งระบบยังคงอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด นี่คือช่องทางกฎหมาย “ทางการ” ช่องทางเดียวที่จะทำให้เขากลับมาได้ หากในท้ายที่สุด ศาลฯ พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดแล้วมีคำพิพากษา “กลับ” ว่าคำสั่งให้ออกฯ นั้น “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

  • บทวิเคราะห์: เส้นทางนี้ถือว่ายากลำบากอย่างยิ่ง เพราะการที่ศาลฯ ชี้ในชั้นคุ้มครองชั่วคราวว่า “คำสั่งชอบด้วยกฎหมาย” แล้ว เปรียบเสมือนการส่งสัญญาณถึงแนวโน้มของคดีหลัก การจะพลิกกลับมาชนะในคดีหลักได้นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องนำเสนอหลักฐานใหม่ที่ชัดเจนว่ากระบวนการสอบสวนหรือการใช้ดุลยพินิจของ ผบ.ตร. ในขณะนั้น “มิชอบ” อย่างร้ายแรงจริง ๆ

เส้นทางที่ 2: หักล้างคดีอาญา (คดีฟอกเงิน) – การต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ต้องไม่ลืมว่า ต้นเหตุของเรื่องนี้คือ “คดีอาญา” ฐานฟอกเงิน (เว็บพนัน BNKMaster) ซึ่งปัจจุบันเรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาชี้มูลความผิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในคดีนี้ให้ถึงที่สุด

  • บทวิเคราะห์: หาก ป.ป.ช. ชี้มูล และอัยการสั่งฟ้อง คดีนี้จะเข้าสู่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ แม้ว่าในอนาคตเขาจะชนะคดีปกครอง (ซึ่งเป็นไปได้ยาก) แต่หากสุดท้ายศาลอาญาฯ พิพากษาจำคุก เขาก็จะขาดคุณสมบัติในการเป็นข้าราชการอยู่ดี การต่อสู้ในคดีอาญาจึงสำคัญต่อ “สถานะ” และ “อนาคต” ในระยะยาวมากกว่าการกลับเข้ารับราชการในระยะสั้น

เส้นทางที่ 3: การต่อสู้แนวรบอื่น (การเมือง/องค์กรอิสระ) – สร้างแรงกดดัน เราจะเห็นว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังคงเดินสายยื่นหนังสือต่อองค์กรต่าง ๆ เช่น การยื่นฟ้องตุลาการศาลปกครอง (อ้างอิง: ไทยรัฐ, 28 ต.ค. 2568) หรือการยื่นหลักฐานเส้นทางการเงินต่อ กมธ.ความมั่นคงฯ ของสภาฯ (อ้างอิง: Thai PBS, 6 พ.ย. 2568)

  • บทวิเคราะห์: การเคลื่อนไหวนี้ แม้ไม่มีผล “โดยตรง” ต่อการเปลี่ยนแปลงคำสั่งของศาลปกครอง แต่มีนัยสำคัญในเชิง “การเมือง” และ “การตรวจสอบถ่วงดุล” เป็นการสร้างแรงกดดันต่อฝ่ายตรงข้าม (ที่เขาเรียกว่า “ขบวนการ 4×100”) และเป็นการชี้ให้สังคมเห็นว่ากระบวนการสอบสวนเขาก็อาจมีปัญหาเช่นกัน (อ้างอิง: Thai PBS, 25 เม.ย. 2568)

บทสรุป: อนาคตที่ขึ้นอยู่กับ “ตุลาการ”

เส้นทางการกลับคืนสู่ถิ่นปทุมวันของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ในวันนี้ แทบจะปิดสนิทในระยะสั้น หลังคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. และมติของศาลปกครองสูงสุดในชั้นคุ้มครองชั่วคราว ได้ “ตอกย้ำ” ความชอบธรรมของคำสั่งให้ออกจากราชการ

อนาคตของเขาจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย 2 เส้น คือ คำพิพากษา “คดีหลัก” ของศาลปกครองสูงสุด และ “คำวินิจฉัย” ของ ป.ป.ช. ในคดีอาญา ซึ่งทั้งสองกระบวนการต้องใช้เวลาอีกยาวนาน และพิสูจน์ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยจะหาจุดสมดุลระหว่าง “การกำจัดอิทธิพล” และ “การให้ความเป็นธรรม” ได้อย่างไร.

แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ (จากผลการค้นหา):

  • Thai PBS (ไทยพีบีเอส): นำเสนอข้อเท็จจริงเชิงลึกและขั้นตอนทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง (เช่น ข่าวการยื่น กมธ.มั่นคงฯ, การวิเคราะห์ปม ก.พ.ค.ตร.)
  • Prachachat (ประชาชาติธุรกิจ): รายงานมติของศาลปกครองสูงสุดอย่างชัดเจน
  • Spring News / Postฟเสนอคำชี้แจงจากฝั่ง สตช. และ ป.ป.ช.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

สั่งสินค้าได้ที่นี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *