ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังจับตามองวิกฤตความมั่นคงอื่น ๆ ปัญหาความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาเป็นประเด็นร้อนที่คนไทยต้องจับตาอีกครั้ง หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณ “ห้วยตามาเรีย” (ใกล้ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ) ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนชัดเจน การบาดเจ็บครั้งนี้มิได้จบลงที่การเยียวยา แต่ได้นำมาซึ่งการตอบโต้ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ เมื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศ “ระงับปฏิญญาสันติภาพ” ไทย-กัมพูชา บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์ ข้อกล่าวหาเรื่องการวาง ทุ่นระเบิดใหม่ และแนวทางที่ไทยควรใช้ในการรับมือกับความท้าทายด้านอธิปไตยและความมั่นคงตามหลักวิชาการและกฎหมายระหว่างประเทศ

พิสูจน์ข้อเท็จจริง: “ทุ่นระเบิดใหม่” และการละเมิดหลักสากล
เหตุการณ์ที่ห้วยตามาเรียเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤต โดยกองทัพบกของไทยได้ยืนยันข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ทุ่นระเบิดที่ตรวจพบเป็น “ทุ่นระเบิดใหม่” ที่ถูกวางในพื้นที่หลังการปักปันเขตแดนชั่วคราว หรือพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงในการหลีกเลี่ยงการปะทะ (อ้างอิง: แถลงการณ์ของกองทัพบกไทย วันที่ 11 พ.ย. 2568)
- หลักฐานเชิงประจักษ์: การระบุว่าระเบิดเป็นของ “ใหม่” นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดน โดยเฉพาะรอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่ต่อเนื่อง เคยมีการเคลียร์ทุ่นระเบิดมาแล้วตามข้อตกลงทวิภาคีและการร้องขอของศาลโลก (ICJ) ในอดีต (อ้างอิง: คำสั่งมาตรการชั่วคราวของ ICJ ปี 2554)
- การละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม: แม้ว่าทั้งไทยและกัมพูชาจะยังไม่ได้เป็นภาคีของ อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างสมบูรณ์ แต่การวางทุ่นระเบิดใหม่ในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์และมุ่งทำร้ายกำลังพลที่กำลังลาดตระเวน ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมสากล (อ้างอิง: หลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ)
เหตุผลเชิงวิชาการ: ทำไมการ “ระงับปฏิญญาสันติภาพ” จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็น?
การประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพโดยนายกรัฐมนตรีไทยไม่ใช่การ “ประกาศสงคราม” แต่เป็นการใช้ อำนาจบริหาร ในการส่งสัญญาณทางการทูตและยกระดับความเข้มข้นของการเจรจา ปฏิญญาสันติภาพ (Joint Declaration) เป็นเอกสารทางการเมืองระดับทวิภาคีที่เน้นการส่งเสริมความร่วมมือและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งโดยสถานะทางกฎหมายนั้น ไม่ใช่สนธิสัญญา (Treaty) หรือ MOU (Memorandum of Understanding) ที่ต้องผ่านการให้สัตยาบันจากรัฐสภา (อ้างอิง: ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
- มุมมองด้านความมั่นคง: เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพฤติกรรม “เป็นปฏิปักษ์” (Hostile Act) อย่างชัดเจน เช่น การลักลอบวางอาวุธร้ายแรง การระงับปฏิญญาฯ จึงเป็นมาตรการตอบโต้ทางการทูตที่ชอบธรรม (Reciprocal Measure) เพื่อ ยกระดับความตระหนัก ของกัมพูชาว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และอาจนำไปสู่การ ทบทวนความร่วมมือ ด้านอื่น ๆ เช่น การค้าชายแดน หรือการจ้างงานแรงงานต่างด้าว (อ้างอิง: ผลการประชุม สมช. วันที่ 11 พ.ย. 2568)
- มุมมองทางนิติศาสตร์: การระงับปฏิญญาฯ ทำให้ไทยสามารถใช้กรอบการเจรจาอื่น ๆ ที่เข้มงวดกว่าได้ เช่น การนำกลไก GBC (General Border Committee) และ JBC (Joint Boundary Commission) กลับมาเจรจาด้วยท่าทีที่เด็ดขาดมากขึ้น โดยอาจมีการพิจารณา การปิดจุดผ่านแดน ในพื้นที่ที่เคยมีความตึงเครียดสูง เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของทั้งกำลังพลและพลเรือนในพื้นที่อ่อนไหว (อ้างอิง: มาตรการที่เคยใช้ในช่วงวิกฤตการณ์ชายแดน พ.ศ. 2568)
แนวทางเตรียมการสำหรับคนไทย: การอยู่ร่วมกับ “เสียงอันตราย”
สถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียดส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนในพื้นที่และเศรษฐกิจโดยรวม คนไทยในทุกภาคส่วนจึงควรมีการเตรียมการและทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างรอบด้าน
แนวทางสำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดน:
- ความตระหนักด้านความปลอดภัย: ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์, อ.น้ำยืน, และพื้นที่ใกล้เคียง ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเข้าพื้นที่ป่าหรือพื้นที่เสี่ยงอย่างสูงสุด และต้องปฏิบัติตาม ประกาศเตือนภัย และ คำแนะนำของกองทัพ ในพื้นที่อย่างเคร่งครัด
- การเตรียมพร้อมอพยพ: หน่วยงานท้องถิ่นควรทบทวนแผนอพยพฉุกเฉิน และจัดเตรียมศูนย์พักพิงสำหรับ กลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ, เด็ก, ผู้พิการ) ให้มีความพร้อมสูงสุด (อ้างอิง: การดูแลกลุ่มเปราะบางในภาวะความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวุฒิสภา)
- การกรองข่าวสาร: หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) และข้อมูลที่ไม่ได้ตรวจสอบ ซึ่งอาจสร้างความตื่นตระหนกและเป็นเครื่องมือให้แก่ฝ่ายตรงข้ามในการปั่นป่วนสถานการณ์
แนวทางสำหรับรัฐบาลไทย (Roadmap for Resolution):
- การใช้กลไก JBC/GBC อย่างเด็ดขาด: ไทยต้องใช้เวที JBC และ GBC เป็นเครื่องมือหลักในการเจรจา โดยต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในการ ยุติการวางทุ่นระเบิดใหม่ และกำหนดให้การเจรจาปักปันเขตแดนเป็นวาระแห่งชาติ (อ้างอิง: แนวทางแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่อ้างสิทธิ์เขตแดนไทย-กัมพูชา ของ กองกำลังบูรพา)
- การยกระดับการทูตพหุภาคี: ไทยควรรีบชี้แจงสถานการณ์ข้อเท็จจริงและหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งหมดแก่ คณะทูต และ องค์การระหว่างประเทศ (เช่น สหประชาชาติ, อาเซียน) เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและกดดันกัมพูชาผ่านเวทีโลก
- การทบทวนยุทธศาสตร์ป้องกัน: กองทัพต้องทบทวนยุทธศาสตร์ป้องกันชายแดน โดยเพิ่มการลาดตระเวนเชิงรุกและติดตั้งระบบเฝ้าระวังที่ทันสมัย (เช่น โดรน, เซนเซอร์) ในพื้นที่เสี่ยงเพื่อลดการสูญเสียที่เกิดจากทุ่นระเบิด
อธิปไตยที่ไม่สามารถต่อรองได้
การปะทะที่ชายแดนในรูปแบบของ “เสียงอันตราย” จากทุ่นระเบิด เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ปัญหาเขตแดน เป็นประเด็นที่ไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้ การตอบโต้ของรัฐบาลไทยด้วยการระงับปฏิญญาสันติภาพ เป็นสัญญาณที่จำเป็นในการปกป้อง อธิปไตย และ เกียรติภูมิ ของชาติ (อ้างอิง: คำกล่าวของนายกฯ อนุทินที่ภูมะเขือ) คนไทยทุกคนต้องตระหนักว่า สถานการณ์นี้มิใช่เพียงแค่การปะทะทางทหารเล็กน้อย แต่คือการทดสอบความเด็ดขาดของรัฐบาลและความเป็นเอกภาพของชาติในการยืนหยัดบนเวทีโลก เพื่อให้ “สันติภาพที่แท้จริง” กลับคืนสู่ชายแดน โดยที่อธิปไตยของไทยยังคงสมบูรณ์.

อ่านข่าวอื่น ๆ :
- เสียงอันตรายจากชายแดน สัญญาณเตือนดังว่า “มันไม่จบง่าย”
- 3 ปี พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 “ปฏิรูปตำรวจ” ล้มเหลวซ้ำซาก หรือแค่ “ละครน้ำเน่า” ที่ผู้มีอำนาจไม่เคยคิดจะเปลี่ยน
- ยืนหนึ่ง! Major Cineplex กวาด 3 รางวัล IAA Awards 2025 ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน! CEO-CFO-IR ย้ำผู้นำบันเทิงโปร่งใสและยั่งยืน
- ฮัดสันชี้แจงเหตุผลเรียก “อิคลาส-ปรเมศย์” เสริมทัพช้างศึก! เตรียมฟัดสิงคโปร์-ศรีลังกา ย้ำชัด “เวลาไม่ใช่ข้ออ้าง”
- ไทยสุดแกร่ง! ปืนรณยุทธเบียดฟิลิปปินส์ คว้า 5 แชมป์ศึกซีซ่า ตอกย้ำความพร้อมก่อนลุยซีเกมส์

