ทำไม? จังหวัดแม่ฮ่องสอน ถึงยังยากจนต่อเนื่อง – วิเคราะห์ต้นตอ โครงสร้าง และทางรอดเยาวชน

จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตั้งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีภูมิประเทศเป็นพื้นที่สูงและชายแดนติดประเทศเมียนมา พลิกภาพจาก “เมืองท่องเที่ยว” ให้กลายเป็น “หนึ่งในจังหวัดที่คนจนมากสุดในประเทศ” โดยในปี 2567 มีสัดส่วนคนจนถึงประมาณ 25.69 % ของประชากรในจังหวัด โดยติดอันดับ 1 ของประเทศ ( อ้างอิง รายงานสถานการณ์ความยากจนปี 2567 เปิด 10 จังหวัดยากจนมากสุด )

แม้ประเทศไทยจะมีการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561‑2580) ภายใต้หัวข้อ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ที่เน้นพัฒนาศักยภาพคน เพิ่มการแข่งขัน และความมั่นคง แต่จังหวัดแม่ฮ่องสอนยังเผชิญความยากจนเรื้อรัง ปัจจัยที่สำคัญสามารถสรุปได้ดังนี้:

ต้นตอของความยากจน

ด้าน ภูมิประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน

  • จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่ภูเขาสูง ลาดชัน และพื้นที่มากกว่า 80 % เป็นป่าไม้
  • การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา สาธารณสุข และบริการต่าง ๆ มีต้นทุนสูง ส่งผลให้พื้นที่ห่างไกลมีต้นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจสูง
  • พื้นที่เกษตรกรรมมีสัดส่วนน้อย (ประมาณ 5.08 % ของพื้นที่จังหวัด) ทำให้ฐานเศรษฐกิจเกษตรขั้นต้นมีข้อจำกัดในมูลค่าเพิ่ม 

ด้าน โครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก

  • รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในแม่ฮ่องสอนอยู่ที่ประมาณ 13,097 บาท/เดือน ซึ่งอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรายได้เฉลี่ยครัวเรือนประเทศ ( อ้างอิง )
  • รายได้หลายครัวเรือนอยู่ในภาคเกษตรกรรมขั้นต้น / แรงงาน / ภูเขา ซึ่งมีความเสี่ยงด้านตลาดและราคาต่ำ
  • ทุนทางการเงินของครัวเรือนในโครงการวิจัยพบว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับมิติอื่น ( อ้างอิง บพท. )

ด้าน ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา และโอกาส

  • เด็กและเยาวชนในพื้นที่เผชิญปัญหา เช่น พื้นฐานภาษาไทยไม่แข็งแรง (โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์)
  • มีโรงเรียนขนาดเล็กอยู่ในพื้นที่สูงซึ่งได้รับงบประมาณน้อย และมีครูขาดแคลน ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำตามพื้นที่ชาย / สูง  (อ้างอิง the101.world )
  • รายงาน UNICEF ระบุชัดว่า ในมิติเด็กและสตรีแม่ฮ่องสอน พบภาวะทุพโภชนาการ 13.7 % ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ

ด้าน กลุ่มชาติพันธุ์และความหลากหลายทางวัฒนธรรม

  • ประชากรในจังหวัดมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น กะเหรี่ยง มูเซอ ม้ง ซึ่งบางส่วนมีปัญหาสถานะทางทะเบียนหรือการเข้าถึงบริการรัฐ
  • ส่งผลให้การสื่อสาร / การศึกษาในระบบอาจไม่ครอบคลุม / ไม่เหมาะสมกับบริบท → ลดโอกาสของเยาวชน

ทำไมยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปียังไม่ “พาออก”

  • ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นกรอบนโยบายระดับชาติ และยังต้องแปลงสู่แผนระดับพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดพื้นที่สูง / ชายแดน / กลุ่มชาติพันธุ์ มักมี “ช่องว่าง” ในการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ
  • โครงการวิจัยพบว่าแม้จะมีระบบข้อมูลแก้จน (TPMAP) แต่ยังมีครัวเรือนตกหล่น (exclusion error) และระบบบูรณาการข้อมูลยังไม่ทั่วถึง ( อ้างอิง การวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน :ระยะที่ 2 )
  • โครงสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ยังไม่เปลี่ยน “จากเกษตรขั้นต้นไปสู่เศรษฐกิจสร้างมูลค่า” อย่างเต็มรูปแบบ → ทำให้โอกาสใหม่ (เช่น อุตสาหกรรม บริการ) เข้าถึงยาก
  • การพัฒนาเน้นศูนย์กลาง (เมืองใหญ่ / ภาคกลาง) มากกว่าส่วนภูมิภาค → ทำให้เกิด “การกระจุกตัว” และภูมิภาคชายขอบถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง 

ใครได้รับผลกระทบ / ใครคือฮีโร่ที่อาจช่วยได้

ผู้ได้รับผลกระทบ

  • เยาวชน/นักเรียน: หากระบบการศึกษาไม่สามารถยกระดับได้ จะทำให้ตก หล่น / ไม่มีโอกาสเลือกอาชีพที่มีรายได้ดี
  • ครัวเรือนเกษตรกร/แรงงานพื้นที่สูง: รายได้ต่ำ / โอกาสน้อย / ต้นทุนสูง
  • ชุมชนชาติพันธุ์และพื้นที่ชายแดน: เข้าถึงบริการรัฐน้อย / อาจไม่มีโอกาสทางทะเบียนหรือสิทธิพื้นฐาน

ฮีโร่ – หน่วยงานที่สามารถช่วยได้

  • ภาครัฐระดับจังหวัด / อำเภอ / ตำบล ที่บูรณาการการพัฒนาแบบพื้นที่ (area based) และใช้ฐานข้อมูล TPMAP อย่างเต็มที่
  • ภาคประชาสังคม/ชุมชน ที่มีบทบาทผลักดันโมเดลเศรษฐกิจฐานราก / สร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่สูง (เช่น เกษตรปลอดภัย / การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์)
  • ภาคเอกชน / นักลงทุน ที่สนใจ “พื้นที่ชายขอบ” และเชื่อมโยงตลาดให้กับสินค้าพื้นเมือง
  • เครือข่ายเยาวชน/นักศึกษาในจังหวัดที่ทำหน้าที่ “นักเปลี่ยนเกม” (change‑agents) ด้านพัฒนาท้องถิ่น

แนวทางแก้ไข & ข้อเสนอ

  • ต้องเน้น การพัฒนาแบบ Inclusive Growth – ไม่ใช่แค่ “เมกะโปรเจกต์” แต่ต้องสร้างโอกาสให้ทุกคน เช่น การพัฒนา value‑chain สินค้าเกษตรภูเขา
  • ต้องปรับโครงสร้างการศึกษา/ทักษะให้เหมาะกับบริบทพื้นที่สูง – ชายแดน เช่น หลักสูตรที่รองรับชาติพันธุ์ ภาษา/วัฒนธรรม
  • ใช้ฐานข้อมูล TPMAP หรือระบบติดตามครัวเรือนอย่างแม่นยำ เพื่อหาคนจนจริง → ลดการตกหล่น → ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 
  • สร้างโครงสร้างพื้นฐานและเชื่อมโยงตลาด – เช่น ถนนไปแหล่งท่องเที่ยว/ธุรกิจชายแดน / การขนส่งที่ลดต้นทุน
  • เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน – ใช้โมเดล bottom‑up ให้ชุมชนออกแบบการพัฒนาของตัวเอง (โมเดลกองทุนสวัสดิการสีเขียว ตำบลแม่สวด)

จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนว่าแม้จะมีนโยบายระดับชาติ  / ยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่ถ้าพื้นที่มีโครงสร้างทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคมที่ท้าทาย  โอกาสจะไม่ถูกกระจายเท่าเทียม การแก้ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ที่ “เงิน” หรือ “โครงการ” แต่ต้องอยู่ที่ “วิธี” “บริบท” และ “การมีส่วนร่วม” หากเยาวชนและครัวเรือนในพื้นที่ไม่ถูก “ส่งขึ้น” ผ่านการศึกษา ทักษะ และตลาด การล๊อคความจนอาจยังอยู่ต่อไป จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดของประเทศ โดยมีข้อมูลว่า ตลอดช่วงปี พ.ศ. 2546–2565 ติดอยู่ใน “อันดับ 5 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุด” ต่อเนื่องถึง 22 ปีเต็ม. ( อ้างอิง)

อ่านข่าวอื่น ๆ :

สั่งสินค้าได้เลยที่นี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *