โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยความคึกคักตามคาด ด้วยยอดใช้จ่ายรวมในวันแรก (29 ต.ค. 2568) ที่พุ่งสูงถึง 752 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการกระตุ้นกำลังซื้อฐานราก อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนั้นเอง “ภัยมืด” ที่เคยเป็นปัญหาในโครงการก่อนหน้าก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อตำรวจสอบสวนกลาง (บก. ปอศ.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง เปิดปฏิบัติการ “ปิดเกม รับ-แลก-ลวง” ทลายขบวนการฉ้อโกงสิทธิ์ที่มุ่งหวังเปลี่ยนวงเงินรัฐบาลให้กลายเป็น “เงินสด” การทุจริตนี้ไม่เพียงแต่เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ แต่ยังบิดเบือนเจตนารมณ์ของรัฐบาล และที่สำคัญที่สุดคือ ทำลายความน่าเชื่อถือและความยั่งยืน ของโครงการสวัสดิการรัฐในอนาคต บทความนี้จะเจาะลึกถึงรูปแบบการโกงสิทธิ์ มาตรการทางกฎหมาย และวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึกต่อระบบเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ

กลโกง “รับ-แลก-ลวง”: รูปแบบการทุจริตที่บิดเบือนเจตนารมณ์
การทุจริตที่เจ้าหน้าที่เข้าปราบปรามในครั้งนี้มีรูปแบบที่เรียกว่า “รับ-แลก-ลวง” ซึ่งเป็นการดำเนินการผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยกลุ่มมิจฉาชีพจะโฆษณาชักชวนให้ผู้มีสิทธินำวงเงินที่ได้รับจากโครงการไป แลกเปลี่ยนเป็นเงินสด แทนการนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการจริงตามเจตนารมณ์ของรัฐ โดยมีเงื่อนไขการหักส่วนต่าง (ค่าดำเนินการ) ประมาณ 10% ถึง 20% ของวงเงินที่แลก
- ผู้กระทำผิดหลัก: คือ ร้านค้า หรือ บุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้ประกอบกิจการจริงแต่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเพื่อเป็นช่องทางในการแลกเงินสด และ ผู้มีสิทธิ ที่สมยอมในการนำสิทธิไปแลกเงิน
- ผลกระทบต่อเป้าหมายโครงการ: โครงการ “คนละครึ่งพลัส” มีเป้าหมายชัดเจนในการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ร้านค้ารายย่อยและลดภาระค่าครองชีพของประชาชน แต่การแลกเงินสดไม่ได้ก่อให้เกิดการหมุนเวียนสินค้าและบริการจริง (GDP) ทำให้เงินงบประมาณที่รัฐจ่ายไปนั้น สูญเปล่า ในเชิงของการกระตุ้นเศรษฐกิจ
บทลงโทษและหลักฐานทางกฎหมาย: โทษหนักที่ต้องตระหนัก
เจ้าหน้าที่รัฐได้เน้นย้ำว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดที่รุนแรงและมีบทลงโทษที่ชัดเจน ผู้กระทำผิดจะถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหา:
- ความผิดฐานฉ้อโกง: ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ที่มีโทษจำคุกสูงสุด ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ [อ้างอิง: ไทยพีบีเอส, ไทยรัฐ, 21-22 ต.ค. 2568] เนื่องจากการใช้สิทธิโดยไม่มีการซื้อขายสินค้าจริงเข้าข่ายการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อรัฐบาล
- ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568: กรณีใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการกระทำความผิด ซึ่งเป็นหลักฐานที่ใช้ในการจับกุมผู้ต้องหาที่โพสต์โฆษณาชักชวนทางออนไลน์
นอกจากโทษทางอาญาแล้ว ผู้ที่ทุจริตจะถูก ตัดสิทธิ จากการเข้าร่วมโครงการของรัฐบาลทุกโครงการในอนาคต และต้อง คืนเงิน ที่ทุจริตไปให้กับรัฐบาล ซึ่งถือเป็นมาตรการทางปกครองและทางแพ่งที่เข้มงวด
วิเคราะห์ : ผลกระทบต่อ “ผู้ไม่ได้รับสิทธิ์” และ “ความมั่นคงทางการคลัง”
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือผลกระทบต่อ ความมั่นคงทางการคลังของรัฐ และ โอกาสของประชาชนที่ซื่อสัตย์ (รวมถึงผู้ที่ไม่ได้สิทธิในรอบนี้)
- การบั่นทอนความไว้วางใจในระบบสวัสดิการ: หากเงินงบประมาณจำนวนมหาศาล (เช่น 752 ล้านบาทต่อวัน) มีส่วนที่ถูกนำไปใช้ในการทุจริต การขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการฉ้อโกงจะกลายเป็น ภาระทางการคลัง ของประเทศ ซึ่งหมายถึงเงินภาษีของประชาชนทุกคน ผู้ไม่ได้รับสิทธิในรอบนี้ ซึ่งอาจรอความหวังในโครงการรอบต่อไป อาจต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะ ยุติหรือลดวงเงิน/ขนาด โครงการ เนื่องจากความเสี่ยงในการทุจริตสูงเกินกว่าที่จะควบคุมได้
- การบิดเบือนการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ: ตัวเลขยอดใช้จ่ายที่สูงเป็นแรงจูงใจให้รัฐบาลเชื่อมั่นในการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป แต่หากตัวเลขเหล่านี้มี “ยอดขายทิพย์” แฝงอยู่ การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจที่แท้จริงจะผิดเพี้ยนไป นำไปสู่การตัดสินใจนโยบายที่อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาด เช่น อาจมีการประเมินว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วและไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการ ซ้ำเติม ผู้บริโภคที่กำลังเดือดร้อนจริง ๆ
- การสร้างความเหลื่อมล้ำทางคุณธรรม: ผู้ที่ซื่อสัตย์และปฏิบัติตามกติกาในการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าบริโภคจริง จะได้รับประโยชน์ตามเจตนารมณ์คือการลดภาระค่าครองชีพ ในขณะที่ผู้ทุจริตกลับได้รับผลประโยชน์ที่เป็นเงินสดเต็มจำนวน (หลังหักส่วนต่าง) ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่ ไม่เป็นธรรม และขัดต่อหลักธรรมาภิบาลของการใช้จ่ายเงินสาธารณะ สิ่งนี้สร้างความรู้สึกที่ว่า “การโกงคุ้มกว่าการซื่อสัตย์” ซึ่งเป็นอันตรายต่อจริยธรรมของสังคมในระยะยาว
- ความเข้มงวดในการตรวจสอบที่เพิ่มขึ้น: เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริต รัฐบาลมีความจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการในการตรวจสอบและควบคุมให้เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้อาจสร้าง ความยุ่งยากล่าช้า ในการทำธุรกรรม หรือแม้แต่การ ตัดสิทธิร้านค้าที่สุจริต โดยเข้าใจผิด ซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อมที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ซื่อสัตย์ต้องแบกรับ
การเติบโตของยอดใช้จ่ายในโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจ แต่การปรากฏตัวของขบวนการ “โกงสิทธิ์” ตั้งแต่วันแรก เป็นสัญญาณเตือนที่อันตรายยิ่งกว่า TopicThailand ยืนยันในจุดยืนที่ว่า ความซื่อสัตย์คือหัวใจสำคัญของโครงการสวัสดิการรัฐ ประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบและบทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง การทุจริตในวันนี้คือการ ปล้นโอกาสในอนาคต ของคนไทยที่เดือดร้อนจริง ๆ รัฐบาลต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามและสื่อสารเรื่องโทษทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาไว้ซึ่งเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ของโครงการนี้ให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืน.
แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ (หลักฐานทางกฎหมายและข้อกล่าวอ้าง):
- ยอดใช้จ่าย 752 ล้านบาท: แนวหน้า. (30 ต.ค. 2568). ทั่วไทยแห่ใช้สิทธิ์ประเดิมวันแรก ‘คนละครึงพลัส’คึกคัก ยอดใช้จ่าย752ล้านบ. ‘หนู’ปลื้มกระตุ้นศก. [ออนไลน์]. (URL: https://www.naewna.com/politic/924345)
- ปฏิบัติการ/การจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย (29 ต.ค. 2568) และพฤติกรรม “แลกเงินสด”:
- มติชน. (29 ต.ค. 2568). จับร้านค้าแลกเงินสดคนละครึ่งพลัส กินส่วนต่าง 20% เตือนผิดทั้งผู้แลก-ผู้รับ คุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่น. [ออนไลน์]. (URL: https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5432094)
- ไทยพีบีเอส. (29 ต.ค. 2568). ตร.สกัดกลุ่มมิจฉาชีพ “รับ แลก ลวง” โครงการคนละครึ่งพลัส. [ออนไลน์]. (URL: https://www.thaipbs.or.th/news/content/358042)
- สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก. (29 ต.ค. 2568). โกง”คนละครึ่งพลัส” วันแรก ตร.จับ 3 ราย ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ. [ออนไลน์]. (URL: https://www.thaitv5hd.com/web/content.php?id=57383)
- โทษทางกฎหมาย (จำคุก 3 ปี ปรับ 6 หมื่นบาท/ข้อหาฉ้อโกง):
- ไทยพีบีเอส. (21 ต.ค. 2568). เตือนขายสิทธิ “คนละครึ่งพลัส” โทษหนักฐานฉ้อโกง จำคุกสูงสุด 3 ปี. [ออนไลน์]. (URL: https://www.thaipbs.or.th/news/content/357804)
- ไทยรัฐ. (22 ต.ค. 2568). รัฐบาลย้ำขายสิทธิ “คนละครึ่งพลัส” ไม่ซื้อ-ขายสินค้าจริง ฉ้อโกง โทษหนักคุก 3 ปี. [ออนไลน์]. (URL: https://www.thairath.co.th/news/politic/2890661)

อ่านข่าวอื่น ๆ :
- พลังเงียบ หรือ แรงผลักดัน? เจาะ 3 ช่องทางกฎหมายที่ ประชาชน สามารถใช้ “ช่วย” บิ๊กโจ๊ก ได้จริงหรือไม่?
- วิเคราะห์: ปิดประตูคืนรัง? ส่อง 3 เส้นทางกฎหมาย “บิ๊กโจ๊ก” กับการกลับมาเป็นตำรวจ ได้หรือไม่?
- วิเคราะห์ 1 ปี ‘ผบ.ตร. กิตติ์รัฐ’ สถิติจริงสวนทาง ‘อาชญากรรมพุ่ง’? เดิมพันลบเงา ‘บิ๊กโจ๊ก’
- เสียงอันตรายจากชายแดน สัญญาณเตือนดังว่า “มันไม่จบง่าย”
- 3 ปี พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 “ปฏิรูปตำรวจ” ล้มเหลวซ้ำซาก หรือแค่ “ละครน้ำเน่า” ที่ผู้มีอำนาจไม่เคยคิดจะเปลี่ยน

