จากกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ประกาศจะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับกัมพูชาในประเด็นความขัดแย้งชายแดน ได้สร้างคำถามสำคัญจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่ตั้งข้อสังเกตอย่างตรงไปตรงมาว่านี่คือ “ปาหี่” ทางการเมืองหรือไม่

บทวิเคราะห์นี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงเหตุผลเบื้องหลังการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับหลักการทั่วไปนี้ พร้อมทั้งชวนให้ฉุกคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่
1. การฟ้อง “ประเทศ” แทน “ตัวบุคคล” คืออะไร?
ในโลกของการเมืองระหว่างประเทศ การดำเนินคดีอาญากับ “รัฐ” หรือ “ประเทศ” โดยตรงนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นจริง เพราะโดยปกติแล้ว จะต้องมีการระบุตัว “อาชญากรสงคราม” หรือผู้กระทำผิดที่เป็นตัวบุคคลในฐานะผู้ออกคำสั่งหรือผู้ลงมือ เพื่อนำตัวไปสู่การพิจารณาคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) หรือศาลโลก (ICJ)

การที่รัฐบาลไทยเลือกที่จะฟ้องร้อง “ประเทศกัมพูชา” แทนที่จะระบุตัวผู้นำหรือทหารที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าแปลกใจและทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือการส่งสัญญาณที่ซับซ้อน หรือเพียงแค่การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ไร้น้ำหนัก?

2. ทำไมถึงไม่ใช่ “อาชญากรสงคราม”?
การใช้คำว่า “อาชญากรสงคราม” ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศที่เข้มงวดและต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีการละเมิดกฎหมายสงครามอย่างร้ายแรง เช่น การสังหารพลเรือน, การทรมาน, หรือการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
การที่รัฐบาลไทยไม่ได้ใช้คำว่า “อาชญากรสงคราม” อาจเป็นเพราะ
- หลักฐานไม่เพียงพอ: การรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีในระดับสากลนั้นซับซ้อนและต้องใช้เวลา หากหลักฐานไม่แน่นพอ การใช้คำนี้อาจทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลก
- ต้องการลดระดับความรุนแรง: การหลีกเลี่ยงคำว่า “อาชญากรสงคราม” อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าไทยไม่ได้ต้องการยกระดับความขัดแย้งไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ แต่ต้องการใช้ช่องทางทางกฎหมายเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
3. “ปาหี่” เพื่ออะไร?
การตั้งคำถามของ นพ.วรงค์ สะท้อนถึงความสงสัยว่าการเคลื่อนไหวของรัฐบาลอาจเป็นเพียง “การเล่นปาหี่” เพื่อผลประโยชน์บางอย่าง หรือไม่?
- เพื่อลดแรงกดดันในประเทศ: การประกาศฟ้องร้องอย่างหนักแน่นอาจช่วยลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนและฝ่ายค้านที่ต้องการให้รัฐบาลแสดงท่าทีที่เด็ดขาด
- เพื่อซื้อเวลา: การใช้กระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศที่กินเวลานาน อาจเป็นวิธีหนึ่งในการซื้อเวลาเพื่อเจรจาหรือหาทางออกที่สันติกว่า
- เพื่อรักษาความสัมพันธ์: การฟ้องร้อง “รัฐ” แทน “ตัวบุคคล” อาจเป็นช่องทางที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาไม่รู้สึกถูกรุกรานมากเกินไป และยังคงเหลือพื้นที่สำหรับการเจรจาในอนาคต



การเคลื่อนไหวของรัฐบาลครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้กฎหมาย แต่เป็นการเดินเกมที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยนัยยะทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งต้องจับตาดูต่อไปว่าท้ายที่สุดแล้ว “การฟ้องร้อง” ครั้งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม หรือเป็นเพียงแค่ “ปาหี่” ที่เล่นเพื่อลดแรงกดดันจากภายในประเทศเท่านั้น.
อ่านข่าวอื่น ๆ :
- พลิกเกม! กัมพูชาเร่งล็อบบี้สหรัฐฯ-มาเลเซีย ก่อนเจรจาหยุดยิง GBC
- “ณัฐพล” ถึงมาเลเซีย เปิดฉากประชุม GBC ไทย–กัมพูชา ย้ำชัด! ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี-ความปลอดภัยประชาชน
- ชาวบ้านหนองบัวลำภูสุดทน! ถนนพังซ้ำซาก สั่งลุยจี้กรมทางหลวงรับผิดชอบ
- ไทยเจ้าภาพ! AFC แจ้ง ทีมชาติไทย U17 อยู่โถ 1 จับสลาก AFC U17 Asian Cup™ Saudi Arabia 2026 Qualifiers
- ORI บุ๊ครายได้ Q2/68 ทันที! โอนบิ๊กล็อตคอนโดฯ ติด BTS 278 ยูนิต ให้ DELTA ตอกย้ำผู้นำตลาด B2B