เปิดเบื้องหลังพลังเงียบที่หลายประเทศใช้เป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ ขณะที่โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน การต่อสู้เพื่ออิทธิพลในเวทีนานาชาติไม่ได้จำกัดอยู่แค่พลังทหารหรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งอาวุธสำคัญที่หลายประเทศใช้ได้อย่างแยบยล — นั่นคือ “Soft Power”
Soft Power คืออะไร?
คำนี้ถูกบัญญัติโดย “โจเซฟ นาย” (Joseph Nye) นักรัฐศาสตร์ชื่อดังจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยให้ความหมายว่า “อำนาจในการโน้มน้าวใจหรือดึงดูดผู้อื่นโดยไม่ใช้การบังคับ” ตรงข้ามกับ “Hard Power” ที่เน้นการใช้กำลังหรือแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
Soft Power สร้างพลังได้จากอะไรบ้าง?
ตามแนวคิดของ Nye อำนาจละมุนนี้มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- วัฒนธรรม ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ
- ค่านิยม หรือแนวคิดของสังคมที่เป็นที่ยอมรับ
- นโยบายต่างประเทศ ที่สร้างภาพลักษณ์เชิงบวก
ตัวอย่างชัดเจนคือเกาหลีใต้ ที่ผลักดัน K-pop และซีรีส์ไปทั่วโลก จนกลายเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันก็เพิ่มภาพลักษณ์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง
แล้วประเทศไทยล่ะ?
แม้ไทยจะมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งอาหารไทย มวยไทย ละครไทย ไปจนถึงความเป็นมิตรของผู้คน แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ยังขาดการผลักดันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
กรณีของ ลิซ่า BLACKPINK ที่ทำให้ “ลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์” กลายเป็นไวรัลทั่วโลก คือหนึ่งในตัวอย่างของ Soft Power ไทยที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคล มากกว่าการขับเคลื่อนจากรัฐ

Soft Power ไม่ใช่แค่ “การโปรโมตวัฒนธรรม” แต่คือการใช้ “เสน่ห์” ของประเทศดึงดูดใจโลก และเมื่อทำได้ดีพอ มันจะกลายเป็นพลังที่แข็งแกร่งกว่าอาวุธใด ๆ เพราะทำให้คน อยากเป็นพันธมิตรกับคุณ โดยไม่ต้องร้องขอ
ดังนั้น ประเทศไทยมีของดี แต่ต้องเล่าให้โลกฟัง ในวันที่โลกแข่งขันกันด้วยเรื่องราว ความคิดสร้างสรรค์ และภาพลักษณ์ ประเทศไทยก็มีศักยภาพในมือแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะ “กล้าปั้น” และ “กล้าเล่า” แค่ไหนเท่านั้นเอง