กลางสี่แยกไฟแดงที่รถติดยาวเหยียด เราเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาไม่คุ้นกับผิวพรรณคนไทย ถือถ้วยพลาสติกเดินวนเวียนระหว่างรถ พร้อมท่าทางอ้อนวอนที่ซ้ำซาก หลายคนรู้…เธอไม่ได้มาเพราะเลือก แต่มาเพราะมี “ใครบางคน” เลือกให้เธออยู่ตรงนั้น

“ขอทานต่างด้าว” ไม่ใช่ภาพใหม่ในสังคมไทย
แต่มันกลายเป็น “ภาพประจำ” ที่เราชาชินกันไปแล้ว ท่ามกลางคำถามคาใจว่า ทำไมถึงปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก?
ตัวเลขที่ไม่โกหก…แต่รัฐยังนิ่งเฉย
จากรายงานของ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (ปี 2566) พบว่า
มีการจับกุมขอทานทั่วประเทศ มากกว่า 1,000 รายต่อปี โดยกว่า 70% เป็นชาวต่างด้าว ส่วนใหญ่มาจาก ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมา

- เด็กขอทานที่พบในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล มักมีอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งจัดว่าเข้าข่าย การค้ามนุษย์และการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก ตามกฎหมาย
- เครือข่ายการค้ามนุษย์บางราย ใช้เด็กในการทำรายได้เฉลี่ยวันละ 500–1,500 บาท แล้วเก็บเงินทั้งหมดไว้เอง โดยเด็กไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ นอกจากอาหารและที่นอนขั้นต่ำ
เรามีกฎหมาย แต่ไม่มีกลไกจัดการที่ยั่งยืน
แม้มี พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 ซึ่งกำหนดให้มีการคัดกรองขอทานอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งบทลงโทษแก่ผู้กระทำผิด แต่ในทางปฏิบัติ…
- หลายกรณีใช้เพียง “การผลักดันกลับประเทศ”
- ไม่มีการสืบสวนขยายผลต่อเครือข่ายเบื้องหลัง
- เจ้าหน้าที่บางหน่วยยอมรับว่า “จับเท่าไรก็มาใหม่อีก” เพราะช่องว่างชายแดนยังเปิดอยู่

“ใครได้ประโยชน์?”
- มีรายงานจากสื่อและ NGOs หลายแห่งว่า เครือข่ายขอทานบางกลุ่มจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่บางหน่วย เพื่อแลกกับการหลับตา
- ระบบที่ควรคุ้มครองเด็กและผู้ยากไร้ กลับกลายเป็นช่องทางทำเงินของกลุ่มคนไร้จริยธรรม
ประชาชนทำได้แค่ “ไม่ให้” แล้วรัฐ ทำอะไรอยู่?
ขณะที่ภาคประชาชนเริ่มรณรงค์ “ไม่ให้เงินขอทาน” เพื่อไม่ส่งเสริมวงจรนี้
คำถามที่ควรถามคือ “แล้วรัฐกำลังรณรงค์หรือจัดการกับต้นตออยู่ตรงไหน?”
มีหน่วยไหนเดินหน้าสืบสวนเครือข่ายจริงจังบ้าง?
มีมาตรการอะไรที่ยั่งยืนกว่าการจับแล้วปล่อย?
เคยมีการทำความร่วมมือระหว่างประเทศจริงจังหรือไม่?
เราทุกคนอาจยื่นมือช่วยไม่ได้ทุกคน
แต่รัฐ…ที่มีทั้งงบประมาณ เจ้าหน้าที่ และกฎหมายในมือ ไม่ควรยื่นมือเฉย ๆ โดยไม่มีแผนการแก้ปัญหาที่แท้จริง