เมื่อความซื่อสัตย์ถูกตีตราว่า “กระจอก”: เจาะลึกมายาคติการเมืองไทย ทำไมคนไม่ซื้อเสียงถึงไม่มีที่ยืนในชนบท?

“ผู้ไม่ซื้อเสียง แต่ถูกมองว่ากระจอก” เป็นหัวข้อที่แหลมคม สะท้อนความเป็นจริงที่เจ็บปวด และเป็นเรื่องที่ “คนไทยต้องรู้” อย่างแท้จริง เพราะมันคือรากฐานของปัญหาคอร์รัปชันเชิงโครงสร้าง

แม้การเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 จะแสดงให้เห็นถึง “จุดเปลี่ยน” ที่พรรคการเมืองเน้นนโยบาย (Ideology-based) สามารถเอาชนะบ้านใหญ่ได้ในหลายพื้นที่ แต่ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น (อบต., เทศบาล, อบจ.) หรือในเขตชนบทที่ห่างไกล วาทกรรม “รับเงินหมากาคนอื่น” อาจใช้ได้จริงแค่บางส่วน แต่ค่านิยมหลักที่ฝังรากลึกคือ “ระบบอุปถัมภ์” (Patronage System)

ทำไมประเด็นนี้ถึงน่าสนใจที่สุด? เพราะสังคมไทยกำลังเกิด “ความขัดแย้งทางค่านิยม” (Value Clash) ระหว่าง:

  1. ค่านิยมประชาธิปไตยสมัยใหม่: ที่มองว่าการซื้อเสียงคืออาชญากรรม
  2. ค่านิยมวิถีชุมชนดั้งเดิม: ที่มองว่าเงินไม่ใช่แค่ค่าจ้างกาบัตร แต่คือ “น้ำใจ” และ “หลักประกัน” ว่าผู้สมัครคนนั้น “ใจถึง พึ่งได้” และมีศักยภาพมากพอที่จะดูแลลูกบ้าน

คำว่า “กระจอก” ในบริบทนี้ ไม่ได้แปลว่า “จน” แต่แปลว่า “ไร้อำนาจและบารมี” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ชาวบ้านมองว่า “ใช้งานไม่ได้จริง” ในบริบทท้องถิ่น

ความเจ็บปวดของผู้สมัครน้ำดี ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นของไทย มีเรื่องเล่าที่ไม่ได้ถูกบันทึกในหน้าข่าวหลัก คือเรื่องราวของผู้สมัครหน้าใหม่ ไฟแรง พกพาอุดมการณ์และความตั้งใจจริงที่จะพัฒนาบ้านเกิด พวกเขาเดินเคาะประตูบ้าน นำเสนอนโยบายที่จับต้องได้ แต่กลับได้รับสายตาที่ว่างเปล่า หรือคำนินทาลับหลังว่า “กระจอก” เพียงเพราะพวกเขาไม่มี “ซอง” ยื่นให้… นี่คือโศกนาฏกรรมของประชาธิปไตยไทย หรือเป็นเพียงกลไกการเอาตัวรอดของชาวบ้าน?

ถอดรหัสคำว่า “กระจอก” ในมุมมองสังคมวิทยา จากการศึกษาบริบทการเมืองไทย คำว่า “กระจอก” ในสายตาผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระบบอุปถัมภ์ มีความหมายซ้อนทับกันหลายมิติ:

  1. กระจอก = ไม่มีน้ำใจ (Lack of Nam-Jai): ในสังคมชนบท “เงิน” ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ หากผู้สมัครไม่แจกเงิน จะถูกตีความว่า “แล้งน้ำใจ” ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งขัดกับคุณลักษณะของ “ผู้นำ” ที่ต้องเป็นผู้ให้
  2. กระจอก = ไร้ศักยภาพ (Lack of Potential): ชาวบ้านมองว่า หากแม้แต่ช่วงเลือกตั้งยังหาเงินมาดูแลหัวคะแนนหรือชาวบ้านไม่ได้ แล้วเมื่อเข้าไปมีตำแหน่ง จะมีปัญญาไปดึงงบประมาณจากส่วนกลางมาพัฒนาหมู่บ้านได้อย่างไร? การซื้อเสียงจึงกลายเป็น “การแสดงโชว์พาวเวอร์” (Power Display) รูปแบบหนึ่ง
  3. ประชาธิปไตยที่กินได้ (Edible Democracy): งานวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้าเคยชี้ให้เห็นว่า ชาวบ้านรากหญ้ามองการเมืองเป็นเรื่องปากท้อง การรับเงินคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (Immediate Relief) ที่จับต้องได้มากกว่านโยบายขายฝันในอีก 4 ปีข้างหน้า

สถิติและความจริงที่น่าตกใจ แม้กฎหมายเลือกตั้ง (พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และท้องถิ่น) จะระบุโทษจำคุก 1-10 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี สำหรับผู้ซื้อเสียง (มาตรา 73 และ 158) แต่ในทางปฏิบัติ การจับกุมทำได้ยากมาก เนื่องจาก:

  • เป็นการสมยอมทั้งสองฝ่าย (ผู้ให้และผู้รับ)
  • ระบบหัวคะแนนที่ซับซ้อนและเป็นเครือญาติ

จาก “ผู้ใหญ่บ้าน” สู่ “ส.ส.”: โครงสร้างที่ต่างกัน

  • ระดับล่าง (อบต./ผู้ใหญ่บ้าน): ความสัมพันธ์ส่วนตัวมีผลสูง การ “ใส่ซอง” งานบุญ งานศพ หรืองานแต่ง เป็น “หน้าที่” ที่ต้องทำ หากไม่ทำ = กระจอกทันที
  • ระดับชาติ (ส.ส.): กระแสพรรคและนโยบายเริ่มมีบทบาทมากขึ้น (เช่น กระแส “ก้าวไกล” ในปี 66) แต่ในเขตชนบทเข้มข้น ระบบบ้านใหญ่ยังคงใช้ “กระสุนดินดำ” (เงิน) เป็นปัจจัยชี้ขาด

ทางออกและการเปลี่ยนผ่าน เราไม่สามารถโทษชาวบ้านว่า “เห็นแก่เงิน” ได้ฝ่ายเดียว ตราบใดที่ความเหลื่อมล้ำยังสูง และรัฐสวัสดิการยังไม่ทั่วถึง เงิน 500 หรือ 1,000 บาท จึงมีความหมายมหาศาล การแก้ปัญหาไม่ใช่แค่การรณรงค์ “ไม่ซื้อสิทธิ ขายเสียง” แต่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า “นโยบายที่ดี” สามารถเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้มากกว่า “เงินก้อนเดียว”

อ่านข่าวอื่น ๆ :

สั่งสินค้าได้ที่นี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *