มหาภัยพิบัติ คำนี้ได้บินกันทุกปี

คำว่า “มหาภัยพิบัติ” กลายเป็นคำที่เริ่ม “เฟ้อ” จนเราได้ยินกันแทบทุกปีจริงๆ ซึ่งมันสะท้อนความจริงที่น่าตกใจ 2 อย่างครับ:

  1. ภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้นจริง: สิ่งที่เราเคยเรียกว่า “100 ปีจะเกิดสักครั้ง” (เช่น น้ำท่วมใหญ่ ปี 54) ตอนนี้กลับเกิดขึ้นถี่ขึ้นจนเกือบเป็นเรื่องปกติใหม่ (New Normal) จากภาวะโลกร้อน
  2. การจัดการที่ไล่ตามปัญหา: โครงสร้างเมืองและการรับมือของเรามักจะ “ตั้งรับ” เมื่อเกิดเหตุแล้ว มากกว่า “ป้องกัน” ระยะยาว ทำให้ทุกครั้งที่ฝนตกหนักหรือแล้งจัด ผลกระทบจึงดูกลายเป็น “หายนะ” ทุกรอบ

สำหรับสถานการณ์ช่วงนี้ (พฤศจิกายน 2568) ที่คำนี้ถูกหยิบมาใช้อีกครั้ง มีสาเหตุเฉพาะตัวที่น่าสนใจและน่ากังวลกว่าปีก่อนๆ ดังนี้ครับ:

ทำไมปี 2568 ถึงถูกเรียกว่า “มหาภัยพิบัติ” อีกครั้ง?

  • ปรากฏการณ์ Rain Bomb ของจริง: ในภาคใต้ตอนนี้ (พ.ย. 68) ไม่ใช่แค่ฝนตกหนักธรรมดา แต่เป็นลักษณะ “ฝนตกแช่” (Stationary Heavy Rain) คือตกหนักย้ำอยู่ที่เดิมนานๆ ปริมาณฝนสะสมบางจุดพุ่งสูงทำลายสถิติในรอบหลายสิบปี
  • พื้นที่เมืองขวางทางน้ำ: โดยเฉพาะ หาดใหญ่ และเมืองขยายตัวในภาคใต้ สิ่งก่อสร้างขวางทางระบายน้ำธรรมชาติ เมื่อเจอมวลน้ำมหาศาลแบบฉับพลัน ระบบระบายน้ำเดิมจึงเอาไม่อยู่ กลายเป็นน้ำท่วมขังสูงแบบรวดเร็ว
  • ภัยซ้อนภัย: ปีนี้เราเจอทั้ง “แล้งจัด” ในต้นปี และ “ท่วมหนัก” ในปลายปี สลับกันแบบสุดขั้ว ทำให้การบริหารจัดการน้ำทำได้ยากมาก

สิ่งที่ต้องจับตาต่อจากนี้ (ไม่ใช่แค่ปีนี้) นักวิชาการเริ่มเตือนกันหนาหูเรื่องปี 2050 (พ.ศ. 2593) ที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเสี่ยงจมน้ำถาวร แต่สิ่งที่ใกล้ตัวกว่าคือ “ภัยพิบัติรายปี” แบบที่คุณสังเกตเห็นนี่แหละครับ ที่จะคอยบั่นทอนเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตเราไปเรื่อยๆ

วงจรอุบาทว์ของคำว่า “มหาภัยพิบัติ” ในทุกปี สังคมไทยต้องเผชิญกับพาดหัวข่าว “มหาภัยพิบัติ” วนเวียนซ้ำซาก จากภาคเหนือสู่ภาคกลาง และจบลงที่ภาคใต้ในช่วงปลายปี เดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ก็เช่นกัน พื้นที่ด้ามขวานทองกำลังจมอยู่ใต้มวลน้ำมหาศาล แต่สิ่งที่ TopicThailand ต้องการเจาะลึกในวันนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง “ฝนตกหนัก” แต่คือ “โครงสร้างการจัดการ” ที่ทำให้ภัยธรรมชาติกลายเป็นหายนะที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Disaster)

1. ปรากฏการณ์ Rain Bomb และ Climate Change ที่ไม่อาจปฏิเสธ ข้อมูลจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) และ กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ชัดว่ารูปแบบฝนในไทยเปลี่ยนไป สถิติปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมงในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสและสงขลาปีนี้ พุ่งสูงทำลายสถิติในรอบ 30 ปี นี่คือผลพวงของ Climate Change ที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ก่อให้เกิดกลุ่มเมฆฝนที่หนาแน่นและเคลื่อนตัวช้า (Rain Bomb)

  • นัยสำคัญ: ระบบระบายน้ำเดิมของไทยที่ออกแบบโดยอิงสถิติเมื่อ 20-30 ปีก่อน (Design Return Period) ไม่สามารถรองรับมวลน้ำระดับนี้ได้อีกต่อไป การอ้างว่า “ฝนตกเกินค่าเฉลี่ย” จึงไม่ใช่ข้อแก้ตัว แต่คือความล้มเหลวในการปรับปรุงเกณฑ์วิศวกรรมให้ทันโลก

2. กับดักผังเมือง: เมื่อกฎหมายแพ้ทุนนิยม สาเหตุหลักที่ทำให้น้ำท่วม “ขังนาน” และ “ระบายไม่ออก” คือการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ผิดเพี้ยน จากการตรวจสอบข้อมูลเทียบกับ พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2562 พบว่าพื้นที่รับน้ำ (Floodway) และพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติจำนวนมาก ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นหมู่บ้านจัดสรรและนิคมอุตสาหกรรม

  • หลักฐานทางกฎหมาย: ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 และ มาตรา 1340 เจ้าของที่ดินต้องไม่กระทำการใดให้ทางน้ำไหลตามธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปจนเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ในทางปฏิบัติ การถมที่ดินสูงกว่าระดับถนนและการสร้างสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำยังคงเกิดขึ้น โดยอาศัยช่องโหว่ของการบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่น ส่งผลให้น้ำไม่มีที่ไปและไหลย้อนกลับเข้าท่วมชุมชนเดิม

3. งบประมาณแสนล้าน กับการแก้ปัญหาแบบ “ไฟไหม้ฟาง” หากย้อนดู พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ย้อนหลัง 5 ปี (2564-2568) ประเทศไทยใช้งบประมาณด้านการบริหารจัดการน้ำรวมกว่าแสนล้านบาท แต่ทำไมผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม? ปัญหาอยู่ที่งบประมาณส่วนใหญ่ (กว่า 60%) ถูกใช้ไปกับสิ่งก่อสร้างแข็ง (Hard Structure) เช่น การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง หรือการขุดลอกคูคลองระยะสั้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

  • สิ่งที่ขาดหายไปคือ “การลงทุนระบบเตือนภัยอัจฉริยะ” และ “การเวนคืนที่ดินเพื่อเปิดทางน้ำ” ซึ่งเป็นเรื่องยากทางการเมือง แต่จำเป็นต้องทำตามอำนาจใน พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ที่ให้อำนาจผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการสั่งการเพื่อรักษาชีวิตประชาชน แต่กลับไม่ถูกนำมาใช้ในการวางแผนระยะยาวอย่างเต็มประสิทธิภาพ

4. ทางออก: ต้องกล้า “รื้อ” ระบบ เราไม่สามารถหยุดฝนได้ แต่เราลดความเสียหายได้ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่รัฐบาลต้องเร่งทำ:

  • Update ผังเมืองรวมใหม่ทั้งระบบ: กำหนดพื้นที่เสี่ยงภัย (Red Zone) ห้ามก่อสร้างถาวรวัตถุอย่างเด็ดขาด
  • ใช้มาตรการทางภาษี: เก็บภาษีที่ดินอัตราสูงพิเศษสำหรับสิ่งปลูกสร้างที่ขวางทางน้ำ หรือให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่เจ้าของที่ดินที่ยอมให้ใช้ที่ดินเป็นแก้มลิงชั่วคราว
  • กระจายอำนาจ: ให้ท้องถิ่นมีงบประมาณและอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการภัยพิบัติ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

บทสรุป คำว่า “มหาภัยพิบัติ” จะยังคงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป ตราบใดที่เรายังมองว่าน้ำท่วมเป็นเรื่องของ “เวรกรรม” แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องของ “วิศวกรรม” และ “กฎหมาย” ถึงเวลาที่ภาครัฐต้องเลิกแก้ตัวด้วยปริมาณฝน แล้วหันมาแก้ที่โครงสร้างผังเมืองและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ก่อนที่ประเทศไทยจะจมบาดาลไปมากกว่านี้.

อ่านข่าวอื่น ๆ :

สั่งสินค้าได้ที่นี่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *