ในขณะที่คนไทยตอนบนกำลังเตรียมตัวรับลมหนาวแรกของปี ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติครั้งสำคัญที่ห่างหายไปเกือบ 30 ปีก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง นั่นคือการเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยของพายุหมุนเขตร้อนในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศเปลี่ยนผ่านสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” (KALMAEGI) ที่อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและมีกำหนดเคลื่อนเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในช่วงวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2568 จึงไม่ใช่เพียงแค่ข่าวเตือนภัยประจำวัน แต่เป็น สัญญาณเชิงวิชาการ ที่สะท้อนถึงความผันผวนของระบบภูมิอากาศโลก และเป็นบทเรียนสำคัญที่คนไทยต้องเรียนรู้และปรับตัว

การวิเคราะห์สถานการณ์: ‘คัลแมกี’ จุดเริ่มต้นจากความรุนแรง
พายุ “คัลแมกี” เดิมเป็นพายุไต้ฝุ่นที่มีกำลังแรงสูงในทะเลจีนใต้ แต่คาดการณ์ว่าจะอ่อนกำลังลงตามลำดับเมื่อเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามในช่วงวันที่ 6–7 พฤศจิกายน ก่อนจะกลายเป็น พายุดีเปรสชัน เคลื่อนผ่าน สปป.ลาว และเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณ จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 [อ้างอิง: สำนักข่าวไทย]
กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ให้เห็นว่าอิทธิพลของพายุลูกนี้จะส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยจะเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อนจะแผ่ขยายไปยังภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือตามลำดับ [อ้างอิง: กรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 10]
พื้นที่เสี่ยงสูงสุด: ภาคอีสานตอนล่างใน “พื้นที่สีแดง”
แบบจำลองพยากรณ์ฝนแสดงให้เห็นชัดเจนว่า พื้นที่เสี่ยงฝนตกหนักมาก หรือที่เรียกว่า “พื้นที่สีแดง” คือจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะ 9 จังหวัดหลัก ได้แก่ อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ยโสธร, ศรีสะเกษ, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, สุรินทร์, บุรีรัมย์ และนครราชสีมา ซึ่งคาดการณ์ว่าปริมาณฝนสะสมอาจสูงถึง 100–200 มิลลิเมตร [อ้างอิง: ผู้จัดการออนไลน์]
ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุดคือ “น้ำท่วมฉับพลัน” และ “น้ำป่าไหลหลาก” เนื่องจาก:
- ปริมาณฝนเข้มข้นสูง: ปริมาณฝนที่ตกหนักมากในระยะเวลาอันสั้นทำให้ดินและทางน้ำไม่สามารถรองรับน้ำได้ทัน
- ความชื้นในดินสูงก่อนหน้า: หลายพื้นที่ในภาคอีสานและภาคกลางเพิ่งประสบปัญหาน้ำท่วมจากฝนที่ตกต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้พื้นดินมีความชื้นสูงอยู่แล้ว การรับน้ำเพิ่มจากพายุจึงทำให้น้ำเอ่อล้นได้ง่ายขึ้น
นัยยะเชิงวิชาการ: พายุในฤดูหนาวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
สิ่งที่ทำให้พายุ “คัลแมกี” เป็นประเด็นเชิงวิชาการที่สำคัญคือการเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ร่องมรสุมเลื่อนลงไปทางใต้และมวลอากาศเย็นจากจีนเริ่มแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนแล้ว อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ยืนยันว่านี่เป็น “เหตุการณ์ที่ไม่ปกติ” ที่ห่างหายไปเกือบ 30 ปี โดยในอดีตเคยเกิดพายุเข้าไทยช่วงต้นเดือน พ.ย. เพียง 3 ครั้งในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา (ปี 2516, 2527, 2539) [อ้างอิง: TrueID, แนวหน้า]
การวิเคราะห์สาเหตุเชิงลึก:
- อิทธิพลของลานีญาอ่อน (Weak La Niña): กรมอุตุนิยมวิทยาชี้ว่าปีนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะลานีญาอ่อน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดความกดอากาศสูงในเขตตะวันตกของแปซิฟิก และทำให้พายุมีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยได้ง่ายขึ้น [อ้างอิง: สำนักข่าวไทย]
- อุณหภูมิน้ำทะเลอุ่นผิดปกติ: แม้จะเป็นช่วงใกล้ฤดูหนาว แต่อุณหภูมิของน้ำทะเลในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ที่ยังคงอุ่นกว่าค่าเฉลี่ย อาจเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยให้พายุยังคงความรุนแรงและสามารถเดินทางมาได้ไกลถึงประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้สำคัญของปรากฏการณ์โลกร้อนที่ทำให้น้ำทะเลดูดซับความร้อนมากขึ้น
แม้พายุจะนำมาซึ่งความเสียหายและความเสี่ยงน้ำท่วมในช่วงสั้นๆ แต่ผลกระทบที่ตามมาคือการเปลี่ยนผ่านสู่ฤดูหนาวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น อากาศในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็วหลังพายุสลายตัว โดยคาดว่าช่วง ธันวาคมถึงมกราคม จะเป็นช่วงที่อากาศหนาวที่สุดของฤดูกาล
ข้อเสนอแนะสำหรับการรับมือ (หลักฐานทางกฎหมาย):
- ประชาชนในพื้นที่สีแดง: ให้ติดตามประกาศจาก กรมอุตุนิยมวิทยา (www.tmd.go.th) และ สายด่วน 1182 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน [อ้างอิง: กรมอุตุนิยมวิทยา]
- เกษตรกร: ควรรีบเร่งป้องกันความเสียหายจากผลผลิตที่กำลังเก็บเกี่ยวหรือตากแห้ง [อ้างอิง: ประชาชาติธุรกิจ]
- หน่วยงานท้องถิ่น: เตรียมพร้อมเครื่องสูบน้ำ จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่ลุ่มต่ำและลาดเชิงเขาที่เสี่ยงต่อน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะใน 9 จังหวัดภาคอีสานตอนล่าง
พายุ “คัลแมกี” จึงเป็นทั้ง บททดสอบความพร้อม ของโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำและภัยพิบัติของประเทศไทย และเป็น เครื่องย้ำเตือน ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ เราทุกคนต้องหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนระยะยาวเพื่อรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วที่อาจเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นในอนาคต.

อ่านข่าวอื่น ๆ :
- 9 ล้านชีวิตในกำมือสแกมเมอร์ ใครรับผิดชอบ?
- ฟีฟ่าไฟเขียวแล้ว “จู๊ด เบลล์” พร้อมสวมเสื้อทีมชาติไทยบู๊ศึกช้างศึกพฤศจิกา
- นโยบายขัดแย้ง: ‘ผับตี 4’ ชน ‘กฎหมายเหล้า 10,000 บาท’ – ช่องว่างทางกฎหมายที่เปิดทางให้ ‘ดุลยพินิจตำรวจ’?
- เริ่ม 8 พ.ย. 68! ดื่มผิดเวลา ปรับ 10,000 บาท (470 ดอลลาร์) – สื่อออสเตรเลียเตือนนักท่องเที่ยว : 3 ข้อต้องรู้ก่อนชนแก้วในไทย!
- พายุ! เกิดในฤดูหนาว 30 ปีครั้ง มันเตือนอะไรเรา! กับภัยพิบัติฉับพลัน

