การประชุม APEC ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้ตอกย้ำว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่บน “จุดตัดทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่สำคัญยิ่งยวด ความเคลื่อนไหวที่โดดเด่นที่สุดคือการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) และกรอบความร่วมมือหลายฉบับ ซึ่งมุ่งเน้นการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่โครงการยุทธศาสตร์ของประเทศ ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการทหารระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน การตัดสินใจเหล่านี้ของรัฐบาลไทยจึงไม่ได้เป็นเพียงการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามปกติ แต่เป็นการเลือกตำแหน่งยืนในเวทีโลก ซึ่งนำมาซึ่ง “โอกาสมหาศาล” และ “ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง” ที่คนไทยต้องรู้

โอกาสของไทย: จาก “ทางผ่าน” สู่ “ศูนย์กลาง” ทางเศรษฐกิจ
การเจรจาทวิภาคีกับจีนได้เปิดประตูสู่การลงทุนใน 3 มิติหลักที่ถูกคาดหวังว่าจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทย:
1.การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงและเศรษฐกิจสีเขียว (High-Tech & Green Economy): รัฐบาลไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้เปิดเผยว่า จีนแสดงความสนใจอย่างสูงที่จะย้ายฐานการผลิตอุตสาหกรรมแห่งอนาคตมายัง EEC ระยะที่ 2 โดยเฉพาะในกลุ่ม ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, และ พลังงานหมุนเวียน จากข้อมูลสถิติของ สกพอ. ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากจีนเติบโตขึ้น กว่า 45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า [อ้างอิง: สกพอ. และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)] การลงทุนนี้จะช่วยให้ไทยสามารถหลุดพ้นจากการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรม” ในอาเซียน
2.การเป็นฐานการผลิตอาหารอัจฉริยะ (Smart Food Hub): ภายใต้แนวคิด “ความมั่นคงทางอาหาร” (Food Security) จีนได้เสนอความร่วมมือในการสร้างห่วงโซ่อุปทานครบวงจร (Supply Chain) สำหรับสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารฮาลาลในประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) และระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับโครงการ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่ง ณ พ.ย. 2568 โครงการช่วงที่ 1 (กรุงเทพฯ-โคราช) มีความคืบหน้าการก่อสร้างอยู่ที่ ประมาณ 75% [อ้างอิง: กระทรวงคมนาคม] โครงการนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรและเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศ BRI และตะวันออกกลาง
3.การเชื่อมโยงโครงข่ายภายใต้ BRI (Belt and Road Initiative): การเร่งรัดการพัฒนารถไฟความเร็วสูงและท่าเรือสำคัญ เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือทวาย (ผ่านความร่วมมือกับเมียนมา) จะทำให้ไทยทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน โดยนักวิเคราะห์ด้านโลจิสติกส์คาดการณ์ว่าปริมาณการค้าทางบกที่ผ่านไทยจะ เพิ่มขึ้น 20-25% ภายใน 3 ปีข้างหน้า [อ้างอิง: รายงานการวิเคราะห์โลจิสติกส์ของธนาคารโลก]
ความเสี่ยงของไทย: เกม “สมดุลล้ม” และการพึ่งพิงเชิงโครงสร้าง
แม้จะมีโอกาสทางเศรษฐกิจสูง แต่การกระชับความสัมพันธ์กับจีนอย่างรวดเร็วก็มาพร้อมกับความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่รัฐบาลต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง:
1. ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจ (Debt Trap & Over-reliance): การพึ่งพาเงินลงทุนขนาดใหญ่จากจีนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สินในระยะยาว และการสูญเสียอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากเงื่อนไขสัญญาการลงทุนขาดความโปร่งใส นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์เตือนว่า หากสัดส่วนการลงทุนจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งสูงเกินไป อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายภายในของประเทศผู้ลงทุนนั้น ๆ [อ้างอิง: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)]
2. การถ่วงดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ (The Balancing Act): การเอียงตัวเข้าหาจีนมากเกินไปอาจสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรในภูมิภาค (เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้) ซึ่งเป็นคู่ค้าและผู้ลงทุนรายใหญ่ของไทยเช่นกัน นักวิเคราะห์ความมั่นคงระหว่างประเทศชี้ว่า ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับจีนอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือทางทหารและการค้ากับชาติตะวันตก ทำให้ไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันให้ต้อง “เลือกข้าง” อย่างชัดเจนขึ้นในอนาคต [อ้างอิง: บทวิเคราะห์จาก Council on Foreign Relations] หลักฐานทางกฎหมายและนโยบาย คือการที่รัฐบาลไทยยังคงรักษากรอบการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกับสหรัฐฯ ในขณะที่ก็เพิ่มการฝึกร่วมกับจีน ซึ่งเป็นการแสดงความพยายามในการรักษาสมดุลทางการทูต
3. ความมั่นคงทางเทคโนโลยีและไซเบอร์: การยอมรับการลงทุนใน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล จากจีน เช่น โครงข่าย 5G และระบบคลาวด์ขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความกังวลด้าน ความมั่นคงทางไซเบอร์ และการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล (Data Sovereignty) โดยมีความกังวลว่าข้อมูลสำคัญของประเทศอาจถูกเข้าถึงหรือควบคุมโดยรัฐบาลต่างชาติ การออกกฎหมายและมาตรการกำกับดูแลด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ที่รัดกุมจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการรับการลงทุน [อ้างอิง: พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และประกาศของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)]
อนาคตไทยอยู่ที่การบริหารความเสี่ยง
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ทุกการตัดสินใจทางเศรษฐกิจถูกจับตามองในฐานะ การเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ โอกาสในการก้าวเป็น “ศูนย์กลาง” โลจิสติกส์และนวัตกรรมในอาเซียนนั้นมีอยู่จริงและเป็นผลจากการเจรจาล่าสุดกับจีน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยต้องแสดงความสามารถในการ บริหารความเสี่ยง โดยการสร้างความโปร่งใสในสัญญาการลงทุน ปฏิรูปกฎหมายด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ และที่สำคัญที่สุดคือการรักษา “จุดยืนที่เป็นกลาง” ทางการทูตอย่างแท้จริง เพื่อให้การสร้างความสัมพันธ์กับจีนไม่นำไปสู่การสูญเสียพันธมิตรเดิมและทำให้ “สมดุลล้ม” ในที่สุด การทำความเข้าใจมิติที่ซับซ้อนนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คนไทยต้องติดตาม.
📚 แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้:
- กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ: แถลงการณ์อย่างเป็นทางการหลังการประชุม APEC และการลงนาม MOU ทวิภาคี (แหล่งข้อมูลหลักด้านการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศ)
- สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.): ข้อมูลสถิติและการอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศ (แหล่งข้อมูลหลักด้านเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐ)
- สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) และ นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia): บทวิเคราะห์เชิงลึกที่เปรียบเทียบจุดยืนของไทยกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน (แหล่งข้อมูลหลักด้านภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก)

อ่านข่าวอื่น ๆ :
- “ณวัฒน์” เดือด! บุกแจ้งความดำเนินคดีทีม Miss Universe (MUO) หลังให้นางงามโปรโมต “คาสิโนออนไลน์” ชี้ผิดกฎหมายไทยร้ายแรง ยืนยัน MGI ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง!
- ส่อง 50 ขุนพล “ช้างศึกซีเกมส์” ชุดแรก ลุ้นติด 23 คนสุดท้าย สู้ศึกในบ้านปลายปีนี้
- ศึกชี้ชะตาใครจะคว้าสัญญา ONE? (ONE ลุมพินี 137) กุหลาบดำ VS ปตท.
- “ทุบสถิติ! ศุภาลัยฟันยอดขาย 1,153 ล้านบาท ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ลูกค้าสุดเฮงคว้า ‘รางวัลใหญ่’ 4 วันติด”
- โมโตจีพีไทย 2026 เคาะแล้ว ‘ตรึงราคาเดิม’ พร้อมอัดฉีดสิทธิ 3-in-1 ชมฟรี Test ระดับโลก! เตรียมกดบัตร 11 พ.ย. นี้

