แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันจะเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง รวมถึงตลาดคอนโดมิเนียมที่เคยพึ่งพากำลังซื้อจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งแม้ว่าจำนวนจะลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ชาวจีนยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติอันดับ 1 ที่เข้ามาโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในไทยอย่างต่อเนื่อง
แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายรายกลับยังคงทำกำไรได้อย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่สามารถสร้างผลกำไรได้เป็นอันดับ 2 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ด้วยตัวเลขที่สูงถึง 2,028 ล้านบาท รองจากบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่มีพอร์ตธุรกิจหลากหลายกว่า

ผลงานที่โดดเด่นนี้ยังสะท้อนไปถึงเรื่องของผลตอบแทนสำหรับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดย นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า นอกจากจะสร้างรายได้และกำไรจากการพัฒนาโครงการแล้ว แสนสิริยังมีจุดเด่นในเรื่องของการบริหารจัดการความเสี่ยง ทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอถึง 2 ครั้งต่อปี ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา
หากย้อนดูประวัติการจ่ายเงินปันผลของหุ้นแสนสิริ (SIRI) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีอัตราเงินปันผลเฉลี่ยสูงถึง 5-12% ต่อปี และถ้ารวมเงินปันผลทั้งหมดที่ผู้ถือหุ้นได้รับมาตลอด 10 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 1.21 บาทต่อหุ้น ซึ่งถ้าเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน (ณ วันที่ 15 ส.ค. 68) ที่ 1.54 บาท ถือว่าผู้ที่ถือหุ้นมานานมีโอกาสได้รับเงินปันผลคืนไปเกือบเท่าตัวของเงินลงทุน หรืออาจจะมากกว่าต้นทุนด้วยซ้ำหากซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นยังต่ำ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แสนสิริสามารถจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ มาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2/2568 ที่มีรายได้สูงถึง 8,786 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,214 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 49% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสามารถปิดการขายโครงการได้หลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
นอกจากนี้ ตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากหลายปัจจัยสนับสนุน ทั้งมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองจากภาครัฐ รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ทำให้แสนสิริยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มองหาผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผลที่มั่นคง.
ราคาหุ้นและปันผลต่อปีของหุ้นแสนสิริ (SIRI) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

จากกราฟข้างต้น แสดงให้เห็นว่า มีความเหมาะสมกับนักลงทุนระยะยาว หรือ Value Investor เนื่องจากที่อยู่อาศัยถือเป็นปัจจัย 4 ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือมีปัจจัยลบอะไรก็ตาม ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ เพียงแต่จะมีการขยายตัวในเรื่องของความต้องการมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา.
อ่านข่าวอื่น ๆ :
- กกท. จัดประชุมหัวหน้านักกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ย้ำจัดแข่งแบบ “Green SEA Games”
- HYDE HERITAGE Thonglor จับมือ 5 แบรนด์ดังระดับโลก ยกระดับชีวิตสุดหรูเหนือระดับสู่ “มรดกอันล้ำค่า”
- ครูปรีชาลุยฟ้อง! ‘โน้ต อุดม’ หมิ่นประมาทปม ‘เดี่ยว 12’ ลั่นไม่เคยคุย ยืนยันดำเนินคดีถึงที่สุด
- คนไทยมีเฮ! WHO ชี้ชัด กองทัพกัมพูชาโจมตีโรงพยาบาลไทย 5 ครั้ง ใช้อาวุธหนักถล่มกลางศึกชายแดน ละเมิดอนุสัญญาเจนีวา
- แสนสิริยืนหนึ่ง! อสังหาฯ ซบแต่ยังกำไรดี พร้อมจ่ายปันผลต่อเนื่อง 10 ปี ชูเป็นหุ้นเด่นน่าลงทุน