การเมือง

“สื่อกัมพูชา” VS “สื่อไทย” ศึกสงครามข้อมูลใครชนะ? เจาะลึกโครงสร้างและจุดยืนที่ต่างกันสุดขั้ว
ในโลกที่ข้อมูลข่าวสาร หลั่งไหลไร้พรมแดน บทบาทของสื่อมวลชนไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังเป็นผู้กำหนดมุมมองความจริงและสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศ บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงโครงสร้างการทำงานและบทบาทของสื่อมวลชนระหว่างประเทศไทย และกัมพูชา โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญ รวมถึงมุมมองที่ประชาคมโลกมีต่อสื่อของทั้งสองประเทศ บนพื้นฐานของความเป็นกลางและข้อเท็จจริง โครงสร้างและการควบคุม สื่อไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน vs. สื่อกัมพูชาภายใต้การกำกับ สื่อมวลชนไทย : มีโครงสร้างที่ค่อนข้างหลากหลายและซับซ้อน ประกอบด้วยสื่อของรัฐ (เช่น Thai PBS, NBT), สื่อเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ (เช่น ช่อง 3, 7, Workpoint) และสื่อออนไลน์อิสระจำนวนมาก แม้จะมีกฎหมายที่รับรองเสรีภาพในการแสดงออก แต่สื่อไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากแรงกดดันทางการเมืองและทุนนิยม การแทรกแซงจากภาครัฐและกลุ่มทุนยังคงเป็นปัญหาที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในประเด็นที่อ่อนไหว เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง อย่างไรก็ตาม สื่อออนไลน์และสื่ออิสระได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ ทำให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจมากขึ้น สื่อมวลชนกัมพูชา : มีโครงสร้างที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน สื่อส่วนใหญ่เป็นของรัฐ หรือมีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับพรรครัฐบาล มีเพียงไม่กี่แห่งที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง การออกใบอนุญาตและการดำเนินงานของสื่อมักอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสารสนเทศอย่างใกล้ชิด การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือผู้นำมักนำไปสู่การถูกคุกคามหรือปิดกิจการ ส่งผลให้เกิดความจำกัดในเนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอ ความหลากหลายทางความคิดเห็นจึงมีน้อยกว่าในประเทศไทยมาก บทบาทในการทำหน้าที่ : รายงานข่าว vs. เครื่องมือของรัฐ บทบาทของสื่อไทย […]
อ่านต่อ
“กรมที่ดิน” เตรียมเพิกถอนเอกสารสิทธิในพื้นที่”เขากระโดง” หลังแนวเขตที่ดินยุติชัดเจน ศาลชี้เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท.
กรมที่ดินเตรียมดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกในพื้นที่เขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ หลังแนวเขตที่ดินบริเวณดังกล่าวได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลปกครองกลาง ถือเป็นการยุติข้อพิพาททางกฎหมายที่ยืดเยื้อมานานระหว่างรฟท. และผู้ถือครองเอกสารสิทธิซ้อนทับในพื้นที่ กรณีดังกล่าวเกิดจากการที่ประชาชนบางส่วนเข้าครอบครองพื้นที่ดินบริเวณเขากระโดง และมีการออกเอกสารสิทธิทับซ้อนกับที่ดินที่รฟท. ถือครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาศาลฎีกาได้วินิจฉัยให้ที่ดินกว่า 5,000 ไร่บริเวณดังกล่าวเป็นของรฟท. โดยระบุว่า ผู้ครอบครองไม่สามารถพิสูจน์สิทธิที่ดีกว่าได้ จึงถือเป็นการครอบครองโดยมิชอบ ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายืนยันว่า เมื่อศาลฎีกาตัดสินให้ที่ดินเป็นของรฟท. แล้ว รฟท. ย่อมมีสิทธิยืนยันกรรมสิทธิ์ต่อบุคคลภายนอก เว้นแต่บุคคลนั้นจะพิสูจน์สิทธิที่เหนือกว่า ซึ่งไม่มีในกรณีนี้ พร้อมทั้งสั่งให้กรมที่ดินดำเนินการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อรังวัดและสอบเขตพื้นที่ร่วมกับ รฟท. อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นในช่วงแรกกลับไม่สามารถดำเนินการได้ตามคำสั่งศาล โดยอ้างเหตุผลเรื่องความเป็นกลางและความไม่ชัดเจนของแนวเขตที่ดิน ซึ่งภายหลังถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และทำให้รัฐเสียหาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ต่อมา ในปี 2566 คณะทำงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และพบว่า รฟท. และกรมที่ดินได้ดำเนินการรังวัดแนวเขตร่วมกันแล้วเสร็จในปี 2567 โดยแนวเขตที่รังวัดสอดคล้องกับแผนที่ที่ใช้ในการพิจารณาคดีตั้งแต่ปี 2539 ซึ่งถ่ายทอดจากแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2464 ด้วยเหตุนี้ กรมที่ดินจึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธิทั้งหมดที่ออกทับซ้อนในพื้นที่ดังกล่าวตามมาตรา 61 วรรคแปด แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อคืนความถูกต้องให้กับการถือครองที่ดินของรัฐ
อ่านต่อ
เมียนมาประกาศกฎอัยการศึก 63 เมือง เตรียมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เดินหน้าเลือกตั้งปลายปี
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เว็บไซต์ข่าวอิรวดี รายงานว่า กองทัพเมียนมาประกาศใช้กฎอัยการศึก ครอบคลุม 63 เมืองจากทั้งหมด 330 เมืองทั่วประเทศ เพื่อรักษากฎหมายและความมั่นคงก่อนการเลือกตั้งที่วางกำหนดไว้ในเดือนธันวาคมปีนี้ หรือมกราคมปีหน้า รายงานข่าวระบุว่า เมืองที่ถูกประกาศกฎอัยการศึกส่วนใหญ่อยู่ในรัฐคะฉิ่น กะเหรี่ยง กะยา รักขิ่น ฉาน ชิน และในภูมิภาคสะกาย มัณฑะเลย์ และมะกเว โดยในจำนวนนี้ 46 เมืองอยู่ภายใต้การควบคุมโดยสมบูรณ์ของกองกำลังฝ่ายต้านรัฐบาล อีก 16 เมือง ทหารเมียนมาควบคุมได้เพียงตัวเมืองหลัก ส่วนพื้นที่ชนบทตกอยู่ในการครอบครองของฝ่ายต่อต้าน แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐบาลทหารประกาศเมื่อเดือนมิถุนายนว่าจะจัดการเลือกตั้งใน 267 เมืองที่เหลือ แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่าพื้นที่ที่ประกาศกฎอัยการศึกหลายแห่งมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มสูงว่ารัฐบาลจะไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ทันการเลือกตั้ง การประกาศกฎอัยการศึกมีขึ้นเพียงไม่นาน หลังจากที่สภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ (National Defense and Security Council-NDSC) ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ มีมติ ยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เคยบังคับใช้มาตั้งแต่วันรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 โดยระบุว่า เพื่อ เตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศ ขณะที่วันเดียวกันยังเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ […]
อ่านต่อ
“ฮุน เซน” ผู้นำที่โลกไม่ควรไว้ใจ – เผด็จการผู้รอดจากเขมรแดง สู่อำนาจ 40 ปีที่ยังไม่มีใครกล้าท้าชน
บทความโดย : สมปรารถนา หุงขุนทด บรรณาธิการข่าวทั่วไป จากเลือดเขมรแดง ถึงบัลลังก์ ฮุน เซน – เมื่อเผด็จการไม่เคยล้มหาย หากแค่เปลี่ยนมือ” บทความเชิงลึกที่ไม่อ้อมค้อม ว่าด้วยโศกนาฏกรรมในนามของอำนาจ และเงื่อนไขที่ทำให้ชายคนหนึ่งครองประเทศได้นานถึง 40 ปี พ.ศ. 2518 กัมพูชาเงียบงันด้วยเสียงของชัยชนะ เมื่อกองกำลัง เขมรแดง (Khmer Rouge) ภายใต้การนำของ พล พต (Pol Pot) ผู้นำกลุ่มเขมรแดง เข้ายึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จ ทว่าเสียงแห่งชัยชนะนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงคร่ำครวญของประชาชนในเวลาไม่กี่เดือน ระบอบสุดโต่งที่ต้องการล้างสมองผู้คน ล้มล้างระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และทำลายชนชั้นปัญญาชนเริ่มลงมืออย่างไร้ปรานี เขมรแดงประกาศว่า “การศึกษาไม่จำเป็น” “ผู้รู้คือภัยของอุดมคติ” ส่งผลให้หมอ ครู นักวิชาการ แม้แต่ผู้ใส่แว่นหรือพูดต่างสำเนียง ถูกสังหารโดยไม่ต้องมีศาลตัดสิน ตลอด 4 ปีแห่งอำนาจเขมรแดง (1975–1979) มีชาวกัมพูชาราว 1.7 ถึง 2 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของรัฐ – ความตายอันเงียบงันที่สุดในศตวรรษที่ […]
อ่านต่อ
“กัมพูชา” ดันทีมสังเกตการณ์หยุดยิง จับมือมาเลย์แก้พิพาทชายแดน
พลเอกเตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ได้พบหารือกับ พลเอก โมฮัมหมัด นิซาม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพมาเลเซีย ซึ่งได้หารือเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนกัมพูชา – ไทย รวมถึงการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา พลเอกเซ็ยฮา ระบุอีกว่า การที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพมาเลเซีย เข้าพบในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของมาเลเซียในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านของอาเซียน ที่จะแก้ไขปัญหาชายแดนกัมพูชา – ไทย โดยเริ่มต้นดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ในการพิสูจน์ว่ากัมพูชาได้ทำตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด จึงได้เชิญบุคคลที่สามเข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่ง พลเอกเตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แจ้งว่า กระทรวงกลาโหมกัมพูชา จะนำคณะผู้แทนนักการทูต ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เข้าตรวจสอบสถานการณ์จริงตามแนวชายแดนกัมพูชา – ไทย ก่อนหน้านี้ ทางการกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาของฝ่ายไทย ตามการรายงานของเฟรชนิวส์ (Fresh News) สื่อท้องถิ่น ด้าน พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าว เมื่อ 29 […]
อ่านต่อ
เปิดภาพทหารกัมพูชา 18 นาย ยอมจำนน “ไทย” ควบคุมตามหลักมนุษยธรรม สากลยกย่อง
กลางสมรภูมิเดือด “ซำแต” กองทัพไทยโชว์ภาพนาทีจับกุมทหารกัมพูชา ติดอาวุธครบมือ 18 นาย ยอมจำนนไม่ขัดขืน พร้อมส่งผู้บาดเจ็บเข้าผ่าตัดทันที เผยดูแลอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยรายงานเหตุการณ์ล่าสุดจากชายแดนไทย – กัมพูชา หลังเกิดการปะทะในพื้นที่ “ซำแต” อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า ได้ควบคุมตัวทหารกัมพูชาจำนวน 18 นาย ซึ่งตกค้างอยู่ในพื้นที่และยอมจำนนโดยสงบ ทหารทั้ง 18 นาย อยู่ในสภาพติดอาวุธครบมือ แต่ไม่มีท่าทีคุกคามหรือขัดขืน จึงถูกควบคุมตัวอย่างสงบ และปลดอาวุธตามระเบียบทางทหาร พร้อมทั้งดำเนินการตามหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด รายงานระบุว่า ในจำนวนนี้มีทหารยศร้อยตรี 1 นาย, จ่าสิบโท 2 นาย, สิบเอก 12 นาย, สิบโท 2 นาย และสิบตรี 1 […]
อ่านต่อ
ทำไมไทยต้องยื่นประท้วง? เขมรผิดข้อตกลงหยุดยิง ยิงซ้ำหลายจุด
เปิดแถลงการณ์รัฐบาลไทย หลังกัมพูชาไม่หยุดยิง ละเมิดข้อตกลง ล่าสุดยื่นหนังสือประท้วงไปยังอันวาร์-สหรัฐ-จีน แล้ว ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เเถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า รัฐบาลไทยมีความจริงใจ และใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ที่จะยุติสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเร็วที่สุด การเจรจาจนมีข้อตกลงหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่าย โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน และยึดถืออำนาจอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และทหารของชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นความหวังร่วมกันของประชาคมโลกที่จะคืนสันติภาพแก่ประชาชาชนทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยเคารพต่อผลการหารือที่เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อหยุดยิงตามที่ได้แถลงร่วมกัน แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า กองกำลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีการใช้อาวุธยิงต่อกำลังฝ่ายไทยในหลายพื้นที่ ทำให้ทหารฝ่ายไทยต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาด และเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้ประท้วงไปยังประธานอาเซียน สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นสักขีพยานในการเจรจา เพื่อให้ได้รับทราบว่า การละเมิดข้อตกลงนี้เป็นเหตุจากการไม่ซื่อตรง และไม่จริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน สถานการณ์ในขณะนี้ รัฐบาลมอบหมายให้ทุกเหล่าทัพตรึงกำลัง เพื่อรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่ยินยอมให้อธิปไตยไทยถูกล่วงล้ำไม่ว่ากรณีใด ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงสายวันนี้ ได้มีการพูดคุยกันระหว่างแม่ทัพภาคของทั้ง 2 […]
อ่านต่อ
ทหารเรือจับ สายลับกัมพูชายศ “ร้อยโท” แฝงตัวชายแดนจันทบุรี แจ้งข้อมูลลับให้กองทัพเขมร
ทหารเรือรวบ “สายลับกัมพูชา” ยศร้อยโท แฝงตัวในพื้นที่จันทบุรี สอดแนมพิกัดทหารไทยส่งกลับกองทัพเขมร สืบพบชุดเครื่องแบบ-โพสต์ข้อความปั่นป่วน ก่อนรับสารภาพหมดเปลือก 29 กรกฎาคม 2568 รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงทางทหารจันทบุรี-ตราด เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน จังหวัดจันทบุรี (ฉก.นย.จันทบุรี) ได้ทำการเชิญตัว MR.OEUN KHOEM (นายคึม เอือน) อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา เดินทางเข้ามาเมื่อ 12 มี.ค. 2568 วันที่การอนุญาตสิ้นสุด 11 มี.ค. 2570 แจ้งที่พักอาศัยใน ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี มาทำการตรวจสอบที่ฝ่ายสืบสวน สภ.โป่งน้ำร้อน โดยมีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี และกองกำกับการสืบสวน ภูธรจังหวัด จันทบุรี ร่วมตรวจสอบและสอบปากคำ โดยทหาร ฉก.นย.จันทบุรี ได้สืบทราบว่า นาย OEUN KHOEM ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับกัมพูชา เนื่องจากได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก พร้อมภาพถ่ายว่า “THAILAND ATTACKS FIRST […]
อ่านต่อ
เปิดผลเจรจา“แม่ทัพภาค 2” พบผู้นำทหารเขมร ตกลงหยุดยิง-ห้ามเคลื่อนกำลัง จับตานัดต่อไปที่กัมพูชา
วันนี้ (29 กรกฎาคม 2568) พล.ต.วันธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยความคืบหน้าสำคัญของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุด พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้พบหารือกับ รองผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา ณ พื้นที่ ช่องจอม จ.สุรินทร์ การพูดคุยระดับสูงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “เบรกปะทะ” หลังความรุนแรงพุ่งต่อเนื่องหลายวัน โดย ผลการเจรจาเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบใน 7 ข้อตกลงสำคัญ ดังนี้ 1. หยุดยิงทุกแนวรบทันที2. ห้ามโจมตีพลเรือนโดยเด็ดขาด3. งดเสริมกำลังเพิ่มเติมในพื้นที่4. ห้ามเคลื่อนย้ายกำลังในแนวชายแดน5. อำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต6. ตั้งทีมประสานงานร่วม ฝ่ายละ 4 คน เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า7. เตรียมหารือรอบถัดไปในการประชุม GBC (General Border Committee) ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ 4 ส.ค.นี้ สถานการณ์หลังเจรจายังอยู่ในช่วง “จับตาอย่างใกล้ชิด” ข้อตกลงเหล่านี้จะนำสู่ความสงบถาวรหรือไม่—ต้องรอดูผลการประชุม GBC ซึ่งถือเป็นเวทีระดับชาติที่มีน้ำหนักต่อท่าทีทั้งสองฝ่าย
อ่านต่อ
แรงงานเขมร ทะลักกว่าหมื่นคน! ติดค้างหน้าด่านบ้านแหลม ยอมนอนข้างถนนรอด่านเปิด
ชาวกัมพูชานับหมื่นตกค้างหน้าด่านบ้านแหลม จันทบุรี หลังเดินทางกลับไม่ทันเวลาปิด ยอมนอนค้างกลางดึก หวังกลับบ้านท่ามกลางไฟสงครามชายแดน – เสียงสะท้อนแรงงานอยากให้สองประเทศกลับมาสงบโดยเร็ว วันนี้ (28 กรกฎาคม 2568) บรรยากาศตลอดคืนที่หน้าด่านถาวรบ้านแหลม ตำบลเทพนิมิต อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เต็มไปด้วยแรงงานชาวกัมพูชานับหมื่นคน ที่ตกค้างหลังเดินทางกลับบ้านไม่ทันเวลาปิดด่าน พากันนั่งรอ นอนค้างตามอาคารตลาดบ้านแหลม ท่ามกลางอากาศเย็นและความไม่แน่นอนในสถานการณ์ชายแดน แรงงานส่วนใหญ่เดินทางมาจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยมีเป้าหมายจะข้ามแดนกลับบ้านเกิด หลังสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาเริ่มทวีความรุนแรง นายบอล ชาวจังหวัดศรีโสภณ ประเทศกัมพูชา ซึ่งทำงานในกรุงเทพฯ เปิดใจว่า เดินทางมาพร้อมครอบครัวเพื่อกลับบ้าน แม้ต้องนอนรอด่านเปิดตอนเช้า ก็ยอมรับได้ พร้อมหวังให้ความขัดแย้งยุติลงโดยเร็ว เพราะตั้งใจจะกลับมาทำงานในไทยอีกหากสถานการณ์สงบ ขณะที่ช่วงเช้ามืดเวลา 06.00 น. บริเวณด่านถาวรบ้านผักกาด ตำบลคลองใหญ่ ก็เริ่มมีแรงงานชาวกัมพูชาทยอยเดินทางมารอตั้งแต่ตีสอง คาดว่าเป็นกลุ่มที่ทราบข่าวความแออัดหน้าด่านบ้านแหลม จึงเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัด เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เร่งจัดระเบียบ พร้อมดูแลความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของแรงงานที่ตกค้างในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความหวังของทุกฝ่ายว่า สงครามจะไม่ยืดเยื้อ และจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติในเร็ววัน
อ่านต่อ