ศพทหารกัมพูชา ถูกทิ้งไว้กลางพื้นที่ปะทะ ปล่อยให้เน่าเปื่อยโดยไร้ผู้เหลียวแล ไม่ใช่เพียงภาพแห่งความโหดร้าย แต่คือคำถามที่สะท้อนความซับซ้อนของสงครามที่ไม่มีใครอยากพูดถึง

เหตุใดจึงไม่มีใครมารับศพเหล่านั้นกลับไปอย่างสมเกียรติ? ในเมื่อแม้แต่ในสงคราม สิ่งที่ควรเหลือไว้คือ “ศักดิ์ศรีของผู้ตาย”
1. เมื่อศพคือภาระที่ไม่มีใครอยากแบก
หนึ่งในสมมุติฐานที่น่าขนลุกคือ รัฐบาลกัมพูชาอาจปฏิเสธที่จะรับศพกลับ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่เพราะ “รู้แล้วจะต้องจ่าย”
เพราะเมื่อยอมรับว่าทหารเสียชีวิตจากปฏิบัติการของรัฐ ย่อมตามมาด้วยภาระการจ่ายค่าชดเชยและดูแลครอบครัวผู้สูญเสีย ซึ่งอาจกลายเป็นตัวเลขมหาศาลในยามที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังย่ำแย่
ดังนั้น…การไม่รู้ อาจถูกมองว่า “ถูกกว่า”
2. ตัวเลขที่พูดไม่ได้ ใครควบคุมข้อมูล ใครปิดความจริง
สงครามในยุคนี้ไม่ใช่แค่สงครามปืนกล แต่คือสงครามข้อมูล
หากยอดผู้เสียชีวิตถูกเปิดเผยมากเกินไป อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาล เสียงสนับสนุนจากประชาชนอาจลดลง
การ “ปล่อยให้ศพหายไป” จึงไม่ใช่เพียงความล้มเหลวทางมนุษยธรรม แต่อาจเป็นกลยุทธ์ในการลบข้อมูลออกจากภาพใหญ่
3. เมื่อความตายกลายเป็นหมากบนกระดานการเมือง
ในบางมุมมองที่เยือกเย็นจนแทบไม่อยากเชื่อ… ศพของทหารอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็นผู้เสียสละ หากแต่เป็น “เครื่องมือ”
บางแหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตว่า การปล่อยให้ศพอยู่ในพื้นที่ปะทะ อาจเป็นการสร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามดูโหดร้าย ใช้เพื่อปลุกอารมณ์ชาตินิยมภายใน หรือแม้แต่กล่าวหาว่าเป็นการใช้อาวุธชีวภาพทางอ้อม ในเกมการเมือง ศีลธรรมมักเป็นหมากตัวแรกที่ถูกสละ
4. พื้นที่ปะทะที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
แน่นอนว่าพื้นที่ชายแดนไม่ใช่สนามเด็กเล่น—มันคือเขตอันตราย การเข้าไปเก็บศพในบางจุดอาจเสี่ยงต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่
แต่เมื่อไทยพยายามส่งศพกลับอย่างมีมนุษยธรรม แล้วกลับถูกปฏิเสธ…
คำถามที่ตามมาคือ “ใครกันแน่ที่ไม่ให้เกียรติผู้ตาย?”

เหตุการณ์นี้ไม่ควรกลายเป็นเพียงข่าวผ่านตา หากแต่ควรเป็นกระจกสะท้อนความโหดร้ายของสงคราม และการเมืองที่กลืนกินศักดิ์ศรีของชีวิต
ในทุกสนามรบ ทหารคือผู้รับคำสั่ง แต่ชีวิตของพวกเขา…สมควรได้รับเกียรติในวาระสุดท้าย