เป็นประเด็นสังคมที่เติบโตเร็วมาก หลังจากที่ “นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ได้หยิบยกประเด็นการต่ออายุราชการของ (บิ๊กกุ้ง) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบันที่กำลังนำทัพสู้ศึกชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน คือกัมพูชา โดยระบุว่า “ไม่ควรเปลี่ยนม้ากลางศึก ขอเรียกร้องให้ “ต่ออายุราชการ” ท่านแม่ทัพภาคที่ 2 ใครเห็นด้วยช่วยแสดงพลังกดไลค์และแชร์ถึงความต้องการนี้ด่วน” ข้อความนี้ถูกโพสต์เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 11 ส.ค.2568 ซึ่งผ่านไปเพียง 7 ชั่วโมง มีคนมาแชร์โพสต์มากกว่า 1 หมื่นครั้ง และแสดงความเห็นมากกว่า 1.9 หมื่นครั้ง ส่วนใหญ่บอกว่า “เห็นด้วย”

หากจะต่ออายุราชการ ของไทย สามารถทำได้หรือไม่?
ตามกฎหมายประเทศไทย สามารถต่ออายุราชการ สำหรับข้าราชการที่กำลังจะเกษียณอายุได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนและต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ
หลักการโดยทั่วไป
- อายุเกษียณปกติ: โดยทั่วไป ข้าราชการพลเรือนในประเทศไทยจะเกษียณอายุเมื่อครบ 60 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 30 กันยายนของปีนั้น
- การต่ออายุราชการ: การต่ออายุราชการจะกระทำได้ในกรณีที่มีความจำเป็นต่อหน่วยงานราชการ และบุคคลนั้นมีคุณสมบัติที่เหมาะสม โดยมักจะพิจารณาจาก
- ความจำเป็นของหน่วยงาน: หน่วยงานนั้นขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
- คุณสมบัติของผู้ขอต่ออายุ: ผู้ที่ต้องการต่ออายุราชการต้องมีคุณสมบัติที่โดดเด่น เช่น เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง, มีผลงานทางวิชาการที่ประจักษ์, หรือดำรงตำแหน่งที่สำคัญ
- ความยินยอมของผู้ขอต่ออายุ: ผู้ที่ได้รับการพิจารณาต้องให้ความยินยอมที่จะรับราชการต่อไป
ตัวอย่างของข้าราชการที่สามารถต่ออายุราชการได้
- ข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา: เป็นกลุ่มที่มีการต่ออายุราชการค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะตำแหน่งทางวิชาการ เช่น ศาสตราจารย์ หรือรองศาสตราจารย์ โดยต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาด้านผลงานทางวิชาการและภาระงานที่กำหนดไว้โดยคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.)
- ข้าราชการบางประเภท: ในบางกรณี กฎหมายเฉพาะสำหรับข้าราชการแต่ละประเภทอาจกำหนดให้มีการต่ออายุราชการได้ เช่น ข้าราชการรัฐสภาสามัญ
ขั้นตอนการดำเนินการ
- การพิจารณาจะดำเนินการก่อนที่ข้าราชการผู้นั้นจะเกษียณอายุ
- ส่วนใหญ่หน่วยงานต้นสังกัดจะเป็นผู้เสนอเรื่องและจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้อง
- จะต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติและผลงานอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจสุขภาพ
- การอนุมัติจะมาจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในแต่ละหน่วยงาน (เช่น ก.พ., ก.พ.อ. หรือคณะรัฐมนตรี)
กล่าวโดย การต่ออายุราชการเป็นข้อยกเว้นที่ทำได้ภายใต้หลักเกณฑ์ที่เคร่งครัด เพื่อรักษาบุคลากรที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญสูงไว้ในระบบราชการ ไม่ใช่สิทธิที่ข้าราชการทุกคนจะได้รับโดยอัตโนมัติ
ข้าราชการทหาร สามารถตอ่อายุราชการได้หรือไม่?
ใช่ครับ ข้าราชการทหารสามารถต่ออายุราชการได้ แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการต่ออายุราชการของข้าราชการทหารจะมีความเข้มงวดและมีเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าข้าราชการพลเรือน
หลักการโดยทั่วไปสำหรับการต่ออายุราชการทหาร
- ตำแหน่งที่สำคัญและจำเป็น: การต่ออายุราชการมักจะเกิดขึ้นในตำแหน่งที่สำคัญและจำเป็นต่อกองทัพ เช่น ผู้บัญชาการเหล่าทัพ หรือตำแหน่งที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านซึ่งหาคนมาทดแทนได้ยาก
- ความจำเป็นและประโยชน์ต่อทางราชการ: การพิจารณาจะอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นของกองทัพและประเทศชาติเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของบุคคล
- กฎหมายและระเบียบกระทรวงกลาโหม: การต่ออายุราชการทหารจะอิงตามกฎหมายและระเบียบของกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบรรจุ การโอน และการปลดออกจากราชการ
- มติคณะรัฐมนตรี: ในหลายกรณี โดยเฉพาะในตำแหน่งระดับสูง การต่ออายุราชการอาจต้องผ่านการพิจารณาและมีมติอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีด้วย
ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการต่ออายุราชการทหาร
- ความเป็นมาในอดีต: ในอดีตมีการต่ออายุราชการของผู้บัญชาการเหล่าทัพหลายท่าน ซึ่งมักจะเป็นประเด็นถกเถียงทางการเมืองและสังคม
- ผลกระทบต่อระบบราชการทหาร: การต่ออายุราชการของผู้บังคับบัญชาระดับสูงอาจส่งผลกระทบต่อระบบการเลื่อนตำแหน่งและขวัญกำลังใจของนายทหารรุ่นถัดไป ทำให้เกิดการปิดกั้นโอกาสในการเติบโตของนายทหารที่รอคิวขึ้นสู่ตำแหน่ง
- กระแสสังคมและการเมือง: ในปัจจุบัน กระแสสังคมและนักการเมืองมักจะให้ความสำคัญกับการหมุนเวียนตำแหน่งและผลักดันให้มีการปฏิรูประบบราชการทหารมากขึ้น ทำให้การต่ออายุราชการเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
การต่ออายุราชการของข้าราชการทหารนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง แต่จะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อกองทัพและประเทศชาติ โดยต้องผ่านกระบวนการพิจารณาที่เข้มข้นและอาจต้องผ่านการอนุมัติจากระดับนโยบายสูงสุดของรัฐบาล



กองทัพไทย เคยต่ออายุราชการให้กับคนไหนหรือไม่?
จากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถสรุปประวัติการต่ออายุราชการของนายทหารระดับสูงในกองทัพไทยได้ ดังนี้
ยุคก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
- จอมพลถนอม กิตติขจร: หลังจากทำการรัฐประหารตัวเองในปี พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้ต่ออายุราชการของตัวเองเมื่อครบกำหนดเกษียณอายุ 60 ปี เพื่อรักษาสูงสุดของกองทัพไว้
- จอมพลประภาส จารุเสถียร: ในช่วงเวลาเดียวกัน จอมพลประภาส ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกก็ได้ต่ออายุราชการของตนเองในปี พ.ศ. 2515 การต่ออายุราชการของทั้งสองคนนี้ถือเป็นหนึ่งในชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
ยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
- พลเอก เปรม ติณสูลานนท์: ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควบคู่ไปกับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พลเอกเปรมได้รับแรงสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองอย่างกว้างขวาง ทำให้มีการต่ออายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกออกไป 1 ปี จากปี พ.ศ. 2523 ถึงปี พ.ศ. 2524
- พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก: ในปี พ.ศ. 2527 รัฐบาลของพลเอกเปรมได้มีมติให้ต่ออายุราชการของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกไปอีก 1 ปี อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งกับพลเอกเปรมในเรื่องนโยบายลดค่าเงินบาท จนนำไปสู่การปลดพลเอกอาทิตย์ออกจากตำแหน่งในที่สุด

สถานการณ์ปัจจุบัน
การต่ออายุราชการของผู้บัญชาการเหล่าทัพหรือนายทหารระดับสูงในยุคหลังนี้ กลายเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและถูกจับตามองจากสังคมอย่างใกล้ชิด โดยมีการยกเหตุการณ์ในอดีตมาเป็นบทเรียนว่าการต่ออายุราชการมักจะนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองได้
ดังนั้น ถึงแม้ในระยะหลังจะไม่มีการต่ออายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพอย่างเป็นทางการเหมือนในอดีต แต่ก็ยังมีกระแสข่าวลือและการพูดถึงความเป็นไปได้อยู่เป็นระยะ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องมักจะออกมาปฏิเสธข่าวหรือชี้แจงว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามระเบียบที่กำหนด
การต่ออายุราชการจึงถือเป็นประเด็นที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจทางการเมืองและอำนาจของกองทัพในแต่ละยุคสมัยของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน
ใคร? มีโอกาสขึ้นเป็น แม่ทัพภาคที่ 2 แทนบิ๊กกุ้ง บ้าง
ในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญในกองทัพ โดยเฉพาะตำแหน่งแม่ทัพภาค จะมีการพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งอาวุโส ผลงาน และความเหมาะสม ซึ่งมักจะมีการวิเคราะห์และคาดการณ์จากสื่อมวลชนสายทหารและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงอยู่เสมอ
สำหรับตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ มีผู้ที่มีโอกาสจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนหลายท่าน ซึ่งเป็นนายทหารระดับรองแม่ทัพภาค 2 ในปัจจุบัน โดยรายชื่อที่ถูกจับตามองมากที่สุด ได้แก่
- พล.ต. วีระยุทธ รักศิลป์ หรือ “รองเติ่ง” ซึ่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 รองเติ่ง ถือเป็นผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในบรรดารองแม่ทัพภาค 2 และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับผู้บัญชาการทหารบกในปัจจุบัน
- พล.ต. นรธิป โพยนอก เป็นอีกหนึ่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 และเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต. วีระยุทธ ซึ่งอยู่ในข่ายการพิจารณา
- พล.ต. ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นรุ่นน้อง แต่มีบทบาทที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา จึงถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งผู้ที่มีโอกาส
การแต่งตั้งจะมีการพิจารณาอย่างละเอียดในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน เพื่อให้ทันกับการเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้ ซึ่งต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับสูงต่อไป
หากย้อนกลับไปดูประวัติของแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย 10 คนล่าสุด ส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งอะไรมาก่อนเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2
หากพิจารณาจากประวัติการรับราชการของแม่ทัพภาคที่ 2 ย้อนหลัง 10 คนล่าสุด จะพบว่ามีเส้นทางการเติบโตที่คล้ายคลึงกันและเป็นไปตามลำดับชั้นบังคับบัญชา ซึ่งมักจะผ่านตำแหน่งสำคัญในกองทัพภาคที่ 2 มาก่อนเข้ารับตำแหน่งสูงสุด
จากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถสรุปตำแหน่งหลักๆ ที่ผู้ที่ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 เคยดำรงตำแหน่งมาก่อนได้ดังนี้:
- ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3) หรือ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6): สองตำแหน่งนี้ถือเป็นตำแหน่งสำคัญในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 2 มักจะต้องเคยผ่านการดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลใดกองพลหนึ่งหรือทั้งสองมาก่อน ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการบังคับบัญชากำลังพลและดูแลพื้นที่รับผิดชอบ
- รองแม่ทัพภาคที่ 2: การดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 ถือเป็นขั้นตอนสำคัญสุดท้ายก่อนจะขึ้นเป็นแม่ทัพภาค การได้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้พิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของกองทัพภาคต่อไป
- ผู้บัญชาการกองกำลังชายแดน: บางท่านอาจเคยผ่านการดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังเฉพาะกิจ หรือกองกำลังชายแดน เช่น กองกำลังสุรนารี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ในการดูแลพื้นที่ชายแดนที่มีความเปราะบางและมีปัญหาเฉพาะด้าน
ตัวอย่าง:
- พลโท บุญสิน พาดกลาง (แม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน) ก่อนขึ้นดำรงตำแหน่ง ท่านเคยเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 และผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 มาก่อน



หากจะเปรียบเทียบข้อมูลการรับราชการของ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้ง 3 คน ในปัจจุบันนี้ ใครเคยดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.ร.3 หรือ ผบ.พล.ร.6 มาบ้าง
จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันของรองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้ง 3 ท่าน สามารถสรุปประวัติการดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.ร.3 หรือ ผบ.พล.ร.6 ได้ดังนี้
- พล.ต. วีระยุทธ รักศิลป์
- เคยดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6) ก่อนที่จะขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2
- พล.ต. นรธิป โพยนอก
- เคยดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3) ก่อนที่จะขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2
- พล.ต. ณัฏฐ์ ศรีอินทร์
- เคยดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6) และยังเคยเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารีอีกด้วย
ในเรื่องของประวัติการรบอย่างเป็นทางการของนายทหารระดับสูงนั้น ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะจะค่อนข้างจำกัดและมักจะอยู่ในรูปแบบของการให้สัมภาษณ์หรือบทความข่าวที่ไม่ได้ระบุรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่สามารถสรุปจากข้อมูลที่เผยแพร่ในสื่อต่างๆ ได้ดังนี้
1. พล.ต. วีระยุทธ รักศิลป์
- ข้อมูลที่มีอยู่มักจะกล่าวถึงท่านในฐานะนายทหารที่เติบโตในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและมีประสบการณ์สูงในการทำงานในพื้นที่อีสานใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะการดูแลชายแดน
- แม้จะไม่มีการระบุถึงการรบอย่างเป็นทางการ แต่การเติบโตจากตำแหน่ง ผบ.พล.ร.6 และ รองแม่ทัพภาค 2 แสดงให้เห็นว่าท่านมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการกำลังพลและสถานการณ์ชายแดนอย่างแน่นอน

2. พล.ต. นรธิป โพยนอก
- เป็นนายทหารที่เติบโตในพื้นที่ภาคอีสานเช่นกัน เคยดำรงตำแหน่งสำคัญอย่าง ผบ.พล.ร.3 ซึ่งมีหน้าที่ดูแลพื้นที่ชายแดน การทำงานในตำแหน่งดังกล่าวทำให้ท่านมีประสบการณ์ในการดูแลสถานการณ์ชายแดนอย่างใกล้ชิด
- เช่นเดียวกับท่านอื่น ๆ ข้อมูลที่เปิดเผยไม่ได้ระบุถึงการรบอย่างเป็นทางการ แต่ตำแหน่งที่ได้รับนั้นบ่งชี้ถึงความเชี่ยวชาญในพื้นที่และการบริหารจัดการกำลังพลในยุทธบริเวณ

3. พล.ต. ณัฏฐ์ ศรีอินทร์
- ท่านนี้ได้รับฉายาว่า “นักรบแห่งอีสานใต้” และเป็นที่รู้จักในวงกว้างว่ามีประสบการณ์ทางการรบและปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนอย่างโชกโชน
- จากข้อมูลในสื่อต่างๆ ระบุว่าท่านเคยผ่านศึกสำคัญ เช่น การสู้รบที่เขาพระวิหาร และมีบทบาทสำคัญในการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาเพื่อลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน
- ท่านมีความสามารถในการพูดและฟังภาษาเขมรได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการเจรจา
- นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ ผบ.พล.ร.6 ซึ่งล้วนแต่เป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและชายแดนโดยตรง

สรุป แม้ว่าทั้งสามท่านจะมีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ชายแดนที่สำคัญ แต่จากข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะ พล.ต. ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ดูเหมือนจะเป็นผู้ที่มีประวัติการรบและประสบการณ์เชิงปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนอย่างชัดเจนที่สุดและได้รับการขนานนามว่าเป็น “นักรบ” จากสื่อต่างๆ ส่วนอีกสองท่านก็ถือว่ามีประสบการณ์ในฐานะผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างยาวนานเช่นกัน
- พล.ต. วีระยุทธ รักศิลป์ (ตท.26) เกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2570
- พล.ต. นรธิป โพยนอก (ตท.26) เกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2570
- พล.ต. ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ (ตท.27) เกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2570
หากจะเปลี่ยนม้ากลางศึก รองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้ง 3 คนนี้ จะทดแทน “บิ๊กกุ้ง” ได้หรือไม่?
ถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเกี่ยวข้องกับอำนาจการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาระดับสูง รวมถึงปัจจัยด้านความมั่นคงและสถานการณ์การเมือง การวิเคราะห์ความสามารถของนายทหารแต่ละท่านเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกและการประเมินผลงานที่รอบด้าน
การวิเคราะห์ตามหลักการของกองทัพ
ในกองทัพไทย การจะได้รับตำแหน่งแม่ทัพภาคนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการพิจารณาหลายองค์ประกอบ ดังนี้
- อาวุโสและเส้นทางการรับราชการ: ผู้ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคจะต้องมีประสบการณ์และผ่านตำแหน่งสำคัญต่างๆ มาอย่างครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการเป็นผู้บังคับบัญชาในระดับกองพล (ผบ.พล.) และรองแม่ทัพภาค ซึ่งทั้ง 3 ท่าน (พล.ต. วีระยุทธ รักศิลป์, พล.ต. นรธิป โพยนอก, และ พล.ต. ณัฏฐ์ ศรีอินทร์) ต่างก็เคยผ่านตำแหน่งสำคัญเหล่านี้มาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความพร้อมที่จะรับตำแหน่งแม่ทัพภาค
- ความเชี่ยวชาญด้านการรบและการดูแลชายแดน: กองทัพภาคที่ 2 มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความตึงเครียดสูง ดังนั้น แม่ทัพภาคและผู้บังคับบัญชาทุกคนจะต้องมีประสบการณ์และความสามารถในการบริหารจัดการสถานการณ์ชายแดน ซึ่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้ง 3 ท่านนี้ ต่างก็มีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในฐานะ ผบ.พล.ร.3 หรือ ผบ.พล.ร.6 ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการดูแลพื้นที่ชายแดน จึงอาจกล่าวได้ว่ามีความรู้ความสามารถในระดับที่เทียบเคียงได้กับแม่ทัพภาค
- การตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาระดับสูง: การแต่งตั้งแม่ทัพภาคเป็นอำนาจของผู้บัญชาการทหารบกและคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับสูง การตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถด้านการรบเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา และปัจจัยทางการเมืองในขณะนั้นด้วย
ตามหลักการของกองทัพและเส้นทางการเติบโตของนายทหาร รองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้ง 3 ท่านนี้ ถือว่ามีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่พร้อมจะขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ เนื่องจากผ่านตำแหน่งสำคัญที่เป็นฐานสำหรับการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้มาแล้ว การจะแต่งตั้งท่านใดนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชาและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของความสามารถทางการรบเพียงอย่างเดียว
หากจะมีการต่ออายุราชการ ของแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบันนี้ต่อไปอีก จะกระทบกับตำหน่งหน้าที่ของ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้ง 3 คน
ประเด็นการต่ออายุราชการของแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นเรื่องที่มีผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างและระบบการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพ ซึ่งหากมีการต่ออายุจริง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อตำแหน่งของรองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งสามคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบต่อตำแหน่งของรองแม่ทัพภาคที่ 2
หากมีการต่ออายุราชการของแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน (พลโท บุญสิน พาดกลาง) จะส่งผลกระทบต่อรองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งสามคน ได้แก่ พล.ต. วีระยุทธ รักศิลป์, พล.ต. นรธิป โพยนอก, และ พล.ต. ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ในประเด็นดังต่อไปนี้:
- การปิดกั้นโอกาสในการเติบโตตามวาระ:
- ตามหลักการของกองทัพ การเกษียณอายุของผู้บังคับบัญชาระดับสูงเป็นโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้เลื่อนขึ้นมาดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น
- เมื่อแม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับการต่ออายุราชการ ตำแหน่งดังกล่าวก็จะยังคงอยู่กับคนเดิม ทำให้ตำแหน่งแม่ทัพภาคว่างลงช้ากว่ากำหนด
- การเลื่อนตำแหน่งในระดับรองแม่ทัพภาคขึ้นสู่แม่ทัพภาคก็จะถูกเลื่อนออกไปเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการปิดกั้นโอกาสในการเติบโตตามวาระของทั้งสามท่าน
- สำหรับรองแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอายุราชการเหลือไม่มากนัก การเลื่อนตำแหน่งที่ถูกเลื่อนออกไปนี้อาจหมายถึงการหมดโอกาสในการขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในกองทัพภาคเลยก็เป็นได้
- ผลกระทบต่อระบบอาวุโสและขวัญกำลังใจ:
- ระบบอาวุโสเป็นหลักการสำคัญในการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพ การต่ออายุราชการของผู้บังคับบัญชาจะทำให้ลำดับอาวุโสในการเลื่อนตำแหน่งถูกบิดเบือน
- การไม่ได้รับโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งที่ควรได้รับ อาจส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของนายทหารระดับรอง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติงาน
- ดังที่นักวิชาการบางท่านได้ให้ความเห็นไว้ว่า การต่ออายุราชการของนายทหารระดับสูงสามารถทำให้ระบบของกองทัพผิดเพี้ยนไป และทำลายขวัญกำลังใจของผู้ที่รอโอกาสเติบโต
เหตุผลทางกฎหมายและระเบียบ
การต่ออายุราชการของผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพนั้นไม่ใช่เรื่องต้องห้ามตามกฎหมาย แต่เป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เคร่งครัด โดยจะพิจารณาจากความจำเป็นของทางราชการและคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้ที่จะต่ออายุราชการ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการให้ความสำคัญกับหลักการ “กองทัพอาชีพ” และการบริหารจัดการบุคลากรตามระบบมากขึ้น ทำให้การต่ออายุราชการของนายทหารชั้นนายพลกลายเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อระบบและขวัญกำลังใจของนายทหารคนอื่น ๆ ที่รอโอกาสเติบโตตามลำดับ
โดยสรุป การต่ออายุราชการของแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรองแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งสามคน ทำให้การขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพภาคของพวกเขาถูกเลื่อนออกไปหรืออาจหมดโอกาสไปในที่สุด ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความจำเป็นในการรักษาผู้เชี่ยวชาญไว้กับผลกระทบต่อระบบการบริหารงานบุคคลและขวัญกำลังใจของกำลังพลในภาพรวม.
อ่านข่าวอื่น ๆ :
- ผลดี-ผลเสีย หากมีการต่ออายุราชการ ของ “แม่ทัพภาคที่ 2”
- “DIPROM” ดันแฟชั่นมุสลิมไทยสู่ตลาดโลก สร้างโอกาสธุรกิจมูลค่า 7.43 ล้านล้านบาท
- เกิดอะไรขึ้น? แกลเลอรี่ดังในกรุงเทพฯ เซ็นเซอร์ผลงานศิลปะ ‘ฮ่องกง-อุยกูร์-ทิเบต’ หลังถูกกดดันจากสถานทูตจีน
- 4 คดี เขย่าใจสองพ่อลูกชินวัตร
- 12 สิงหา วันวีระชนกะเหรี่ยง การเสียชีวิตและหลักการ 4 ข้อ