ในช่วงเวลาที่ข่าวฉาววงการสงฆ์ยังคงโผล่ซ้ำซาก สังคมไทยมักตั้งคำถามว่า “ทำไมพระถึงทำผิดได้?” “ทำไมสีกาถึงไม่กลัวบาป?” แต่คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่พฤติกรรมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ โครงสร้างลึก ทั้งของจิตใจมนุษย์และระบบศาสนาที่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม

นี่คือการวิเคราะห์ที่พาเราลงลึกไปกว่าคำว่า “ผิด” และ “บาป” เพื่อเข้าใจ วงจรของความเปราะบาง ที่ผลักดันให้เกิดความสัมพันธ์ต้องห้าม ที่ส่งแรงกระเพื่อมถึงความศรัทธาทั้งระบบ
1.ศีลธรรมภายนอก VS ความขัดแย้งภายใน พระอาจห่มผ้าเหลือง แต่ไม่ได้หมายความว่ากิเลสจะดับสิ้นไปแล้ว ในทางจิตวิทยา มนุษย์ทุกคนมีแรงผลักดันพื้นฐาน เช่น ความใคร่ ความรัก ความต้องการได้รับการยอมรับ ซึ่งไม่อาจถูก “ลบล้าง” ได้ด้วยการครองสมณเพศเพียงอย่างเดียว หากไม่ได้รับการฝึกจิตอย่างลึกซึ้ง หรือบวชโดยไม่มีศรัทธาจริง ความขัดแย้งระหว่าง “สิ่งที่ควรเป็น” กับ “สิ่งที่ใจยังต้องการ” จะเกิดภาวะที่เรียกว่า
“Cognitive Dissonance” – ความตึงเครียดทางใจระหว่างค่านิยมกับพฤติกรรมจริง”
สุดท้ายจิตใจจะปรับสมดุลด้วยการ “หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง” เช่น “เรารักกัน ไม่ได้ทำร้ายใคร” “คนอื่นก็ทำกัน ทำไมเราจะทำไม่ได้” นำไปสู่การละเมิดศีลในเงามืด โดยไม่มีใครรู้
2.เมื่อ “วัด” กลายเป็นพื้นที่ของอำนาจ ไม่ใช่การฝึกใจ พระผู้ใหญ่ในบางวัดมีอำนาจมากพอจะไม่มีใครกล้าตรวจสอบ เมื่อวัดขาดกลไกถ่วงดุล ความสัมพันธ์เชิงอำนาจจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ระหว่าง “พระที่อยู่สูง” กับ “ผู้หญิงที่ต่ำกว่า”
แม้จะดูเหมือนความยินยอม แต่หลายกรณีแฝงแรงกดดัน เช่น ความศรัทธา ความกลัว หรือผลประโยชน์ สถานการณ์แบบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องศีลธรรมส่วนบุคคล แต่คือปัญหาเชิงระบบ
3.จิตวิทยาของ “สีกา”: เมื่อผู้หญิงบางคนหลงรักสิ่งต้องห้าม กรณี “สีกากอล์ฟ” สะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงบางคนอาจไม่ได้ “ตกเป็นเหยื่อ” แต่เป็น “ผู้ล่า” ด้วยแรงขับทางจิตใจที่ซับซ้อน
ในจิตวิทยาเรียกว่า “Forbidden Fruit Effect” – สิ่งที่ห้าม ยิ่งทำให้อยากได้ ยิ่งมีเสน่ห์ บางคนรู้สึกว่า “การได้ครอบครองสิ่งต้องห้าม คือชัยชนะ” หรือมองความสัมพันธ์กับพระว่าเป็น “การควบคุมจิตใจของผู้มีธรรม” ขณะเดียวกัน บางคนก็มีประวัติชีวิตที่ขาดความรัก ความยอมรับ จึงแสวงหาความสำคัญจาก “คนที่ห้ามรักได้” เพื่อเติมเต็มความรู้สึกในใจ



4.ระบบการบวชที่ขาดการคัดกรอง “จิตวิญญาณ” การบวชในปัจจุบันเน้นขั้นตอน ไม่ใช่ “การฝึกจิต” หลายคนเข้าสู่วัดเพื่อหนีปัญหา หรือแสวงหาอำนาจ/ผลประโยชน์ เมื่อไม่ได้รับการอบรมภายในที่แท้จริง พระเหล่านี้จึงกลายเป็นแค่ “คนธรรมดาในจีวร” ที่ยังคงถูกลากด้วยกิเลส
นี่คือช่องโหว่สำคัญของระบบ ที่ปล่อยให้คนที่ไม่พร้อม “เข้ามาเป็นตัวแทนศาสนา” โดยไม่มีภูมิคุ้มกันทางใจ
5.ศรัทธาที่ร้าวจาก “เรื่องส่วนตัว” ของบางคน ข่าวฉาวของพระไม่ได้ส่งผลแค่กับวัดใดวัดหนึ่ง แต่กระทบกับความศรัทธาของคนทั้งสังคม เพราะศาสนาเป็น “ของส่วนรวม” เมื่อไม่มีการตรวจสอบ-กลั่นกรอง-สะสาง อย่างจริงจัง ความศรัทธาสาธารณะจะค่อย ๆ สึกกร่อนลงทีละน้อย จนวันหนึ่ง…เราอาจไม่เหลือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดให้เชื่ออีก
แล้วทำไม “สีกากอล์ฟ” จึงไม่กลัวบาป?
เพราะสมองมนุษย์ต้องเอาตัวรอดจากความรู้สึกผิดหลายคนที่ทำผิด ย่อมรู้ดีว่า “ผิด” แต่ไม่สามารถทนอยู่กับความรู้สึกผิดได้นาน สมองจึงสร้างกลไก Rationalization หรือ “การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง” เช่น “พระก็มีหัวใจ” “เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน” กลไกนี้ช่วยให้คนสามารถทำสิ่งผิดซ้ำได้ โดยไม่รู้สึกผิดเท่าเดิม
บุคลิกแบบ “Narcissism” – หลงตัวเอง ยิ่งห้ามยิ่งอยากเอาชนะ
พฤติกรรมบางอย่างของสีกากอล์ฟสะท้อนบุคลิกที่ “ต้องการเป็นจุดสนใจ” ต้องการครอบครองคนที่ “ควรจะห้ามยุ่ง” เพราะมันทำให้รู้สึกมีอำนาจ และที่อันตรายยิ่งกว่า คือคนแบบนี้เชื่อว่า “กฎศีลธรรมไม่จำเป็นต้องใช้กับฉัน”
“เสพติดความรู้สึก “ควบคุมสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
การได้มีสัมพันธ์กับพระบางรูป ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่อาจเป็นความรู้สึกเหนือกว่าในใจ เช่น “ฉันทำได้ในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า” นี่คือเกมอำนาจในใจลึก ๆ ที่สร้างความพึงพอใจปลอม ๆ โดยไม่สนผลกระทบ
เมื่อความรู้สึกผิดกลายเป็นสิ่งที่เคยชิน คนที่เคยถูกลดคุณค่า หรือมีประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวด อาจพัฒนาสภาพจิตใจแบบ “ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีค่าพอจะเป็นคนดี” “ในเมื่อใคร ๆ ก็มองว่าเราชั่ว งั้นเราก็จะชั่วให้สุด” นี่คือจุดแตกหักที่อันตราย เพราะความสำนึกถูกดับไฟไปแล้ว
สุดท้ายนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพระกับสีกา อาจดูเป็น “เรื่องชู้สาว” สำหรับบางคน แต่มันสะท้อนความเปราะบางเชิงจิตใจ และความรั่วไหลเชิงระบบอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่ใครผิด แต่คือระบบที่ไม่เยียวยา ศาสนาที่ไม่ฝึกจิตจริง และสังคมที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ใคร “กลับตัว” ได้จริง.



อ่านข่าวอื่น ๆ :